ในปัจจุบันนี้ประเทศไทยกลายเป็นสมรภูมิสงครามทางด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะค่ายที่ยู่ดั้งเดิมอย่างค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นที่มีเทคโนโลยีรถยนต์ Hybrid รถยนต์ Plug-in Hybrid และรถยนต์ไฟฟ้าจำนวนเล็กน้อย กำลังถูกลุกลาม จากค่ายรถยนต์ไฟฟ้าน้องใหม่หลายค่ายจากประเทศจีนและมีค่ายรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มเติมอีก 3 ค่าย
ในปี 2023 จะสังเกตุได้ว่าค่ายรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศจีนไม่ได้มุ่งเน้นที่การขายรถยนต์เพียงอย่างเดียว
แต่ต้องการที่จะมาตั้งฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามียอดเงินลงทุนยอดเป็นเป็นหลักพันล้าน ซึ่งขายรถยนต์ไฟฟ้า
ทั้งในประเทศไทยและส่งออกต่างประเทศที่เป็นพวงมาลัยฝ่ายขวาทั้งหมด ปัจจุบันถือว่าเป็นสงครามทางการตลาดของรถยนต์ไฟฟ้า
เมื่อค่ายรถยนต์ของประเทศจีนเข้าลงทุนกลายเป็นโอกาสในการหานักลงทุนหน้าใหม่ โดยเฉพาะดีลเลอร์
(ตัวแทนจำหน่าย)
ซึ่งดีลเลอร์เป็นส่วนสำคัญในการสร้างโอกาสการขายเป็นช่องทางในการจัดจำหน่าย อย่างดีลเลอร์ค่ายรถญี่ปุ่นที่กำลังประสบณ์ปัญหาน้ำมันแพง ทำให้ยอดขายรถยนต์ลดลง บางค่ายหรือบางดีลเลอร์อยู่ไม่ได้ จนต้องมองหาโอกาสใหม่ ๆ อย่างรถยนต์ไฟฟ้า
ทางค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนมีการมองหาดีลเลอร์หรือช่องทางในการจัดจำหน่ายเช่นเดียวกัน อาทิ ฉางอาน, GAC และ CHERY โดยมีแผนการที่จะสร้างศูนย์บริการ หรือโชว์รูมขึ้นมาในประเทศไทยเป็นอย่างน้อยกว่า 200 แห่ง ในส่วนของค่าย BYD มีการตรงเป้าไว้ที่จำนวน 113 แห่ง ทั่วประเทศ
สาเหตุที่ดีลเลอร์ค่ายรถญี่ปุ่นมาจับแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้า
สาเหตุมาจากราคาค่าน้ำมันที่แพงและเทคโนโลยี Hybrid ที่ไม่สามารถลดค่าใช้จ่ายเท่าที่ควร
รวมทั้งเทคโนโลยี Hybrid มาอยู่ในเมืองไทยมาเป็นเวลากว่าสิบกว่าปีแล้ว หลายคนจึงมองว่ายังคงไม่เพียงพอ
ประกอบกับมีตัวเลือกใหม่อย่างรถยนต์ไฟฟ้าที่ช่วยให้เกิดการประหยัดมากกว่า ส่งผลให้ทางดีลเลอร์มองเห็น
โอกาสใหม่ที่ดี
จากแหล่งข่าวตัวแทนจำหน่ายรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นรายใหญ่ทั้งในเขตภาคกลางและภาคอีสานออกมายอมรับว่าช่วงที่ผ่านมาทางดีลเลอร์พยายามเริ่มมองหาโอกาศใหม่ ๆ ทางธุรกิจ โดยเฉพาะการเป็นตัวแทนจำหน่าย
รถยนต์ไฟฟ้า จากเทรนด์กระแสในเรื่องของรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังมาแรง รวมถึงการสนับสนุนจากภาครัฐบาลให้มีการส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตภายในประเทศ ซึ่งอุตสาหกรรมกำลังเติบโตในระยะแรกเป็นที่สนใจอย่างมาก
ซึ่งยอดการจดทะเบียนหลังจากที่ได้รับเงินสนับสนุนจากทางรัฐบาลในปี 2022 มียอดจดทะเบียนหมื่นคัน
ส่วนในปี 2023 ช่วงสิ้นเดือนตุลาคม มียอดการจดทะเบียนจำนวนหกหมื่นกว่าคัน จะเห็นได้ว่ามันเติบโตแบบก้าวกระโดดและยังมีแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าน้องใหม่ที่พร้อมจะเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยเพิ่มขึ้นจำนวน 2 – 3 แบรนด์ และเมื่อเข้าทำตลาด ย่อมต้องมองหาช่องทางในการจัดจำหน่าย จึงเป็นโอกาสใหม่ ๆ ที่เหมาะสมอย่างมาก
จากเทรนด์ของรถยนต์ไฟฟ้า
ซึ่งทาง BOI มีการเก็บข้อมูลช่องทางการจำหน่ายของค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นหลายๆดีลเลอร์เริ่มเปลี่ยนมาจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีน นอกจากนี้ดีลเลอร์รถยนต์รายใหญ่ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดให้ความสนใจและ
เข้าไปติดต่อ เพื่อขอเป็นตัวแทนค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนจำนวนอย่างมาก อาทิ
ซึ่งค่ายรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศจีนบางแบรนด์มีนโยบายหา Distributor ในประเทศไทยก่อนให้มาเป็น
Mega Distributor เพื่อหา Distributor รายย่อยต่อ อาทิ GAC จะเป็น Mega Distributor จำนวน 4 เจ้า
และให้ทั้ง 4 เจ้าเหล่านี้ไปหา Distributor ย่อยต่อ เพื่อช่วยในการประหยัดเวลา
ปัจจุบันจะเห็นได้ว่ามีดีลเลอร์หลายคนที่ให้ความสนใจ โดยเฉพาะดีลเลอร์รายใหญ่ เนื่องจากการเกิด
เทคโนโลยีใหม่ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาด
แต่ในรถยนต์ไฟฟ้าบางค่ายอย่างรถยนต์ไฟฟ้าของจีนมีเงื่อนไขที่สำคัญ ถ้าเป็นดีลเลอร์จากค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นมาทำรถยนต์ไฟฟ้าทางค่ายจีนจะไม่ติดปัญหา แต่ถ้าเป็นดีลเลอร์ของค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีน
และทำการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าค่ายจีน จะไม่สามารถทำการขายรถยนต์ไฟฟ้า 2 ค่ายพร้อมกัน
ด้วยการแก่งแย่งชิงดีการในทางตลาดบางค่ายมีถึงขั้นจัดตั้งนอมินีขึ้นมาเป็นเจ้าของ เพื่อที่จะไปตีตลาด
แบรนด์อื่น ๆ เพราะรถยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ดีลเลอร์ของค่ายจีน ประกอบด้วย
BYD
มีแพลนในปี 2023 จะต้องมี 113 โชว์รูม ทั่วประเทศ หมายความว่าดีลเลอร์ที่ทางแบรนด์ต้องมองหา จะต้องมีความรู้ในพื้นนั้น ๆ และสามารถขยาย หรือศักยภาพที่สามารถ ทำให้โชว์รูมสามารถขยายตัวออกไป โดยหนึ่งดีลเลอร์ จะต้องเป็นเหมือนกับ เมกะดีลเลอร์ ที่ลงทุนไม่น้อยกว่า 2 – 5 โชว์รูม ในเบื้องต้นจะเริ่มที่ 2 โชว์รูม และค่อยขยายเป็น 5 โชว์รูม ต่อ 1 ดีลเลอร์
1 โชว์รูม มีการประมาณการณ์การลงทุนอยู่ที่ 50 ล้านบาท ต่อ โชว์รูม หมายความว่าดีลเลอร์ส่วนใหญ่จะเป็นค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นมาก่อน ซึ่งทางค่าย BYD มีการติดต่อดีลเลอร์ที่ขายค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นที่เป็นแบรน์เบอร์สอง หรือ ตลาดเบอร์รอง อาทิ NISSAN, MITSUBISHI และ SUZUKI ซึ่งแบรนด์เหล่านี้ไม่เป็นที่นิยมของตลาด
ส่งผลให้คนที่ต้องการโพเทนเชียลอย่างรถยนต์ไฟฟ้าค่าย BYD ที่มียอดขายที่ดีอย่างเห็นได้ชัด จึงมีรถยนต์จาก
ดีลเลอร์จากค่ายญี่ปุ่นหันมาจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่นำเข้า อาทิ รถยนต์สปอร์ต Spyder Auto Import หันมาทำ BYD เช่นเดียวกัน
ดังนั้นจึงมีการพยายามหาดีลเลอร์ที่เป็นโพเทนเชียล เพื่อให้การขยายสาขาทำได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
สิ่งที่สำคัญในการจำหน่ายรถยนต์ต่อให้มีสมรรถนะดี ในส่วนศูนย์บริการจะต้องครอบคลุมทั่วประเทศ
เพื่อสร้างความมั่นใจ เนื่องจากยังเป็นแบรนด์ที่ยังใหม่เมื่อเปรียบเทียบกับแบรนด์รถยนต์ญี่ปุ่นที่อยู่ในประเทศไทย
มาอย่างยาวนานร่วมกว่า 60 ปี
MG
เป็นค่ายที่เข้าร่วมมาตรการ EV ในเฟสแรก มีโชว์รูมให้บริการกระจายทั่วประเทศจำนวน 150 แห่ง
เพราะค่าย MG เป็นผู้บุกเบิกรถยนต์ไฟฟ้ากับรถ MG ZS EV และได้มาทำรถยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ MG EP
โดยมาทำเป็นรถแท็กซี่ เนื่องจากมีราคาถูกสามารถเข้าถึงได้ง่าย
GWM ( Great Wall Motor )
ปัจจุบันมีโชว์รูมหรือช่องทางการจัดจำหน่ายจำนวน 69 แห่งทั่วประเทศ แบ่งสัดส่วนเป็น 40%
ในส่วนกรุงเทพและปริมณฑล และ 60% ในต่างจังหวัด ซึ่งค่ายนี้มองว่าลูกค้าส่วนใหญ่จะอยู่ที่ต่างจังหวัด
เป็นจำนวนมากกว่าในส่วนกรุงเทพและปริมณฑล
NETA
ปัจจุบันโชว์รูมหรือช่องทางในการจัดจำหน่ายจำนวน 30 แห่ง ในปี 2023 จากของเดิมที่มีจำนวน 24 แห่ง
รวมทั้งหมด 54 แห่งทั่วประเทศ เพื่อสร้างช่องทางในการจัดจำหน่าย เนื่องจากทางค่าย NETA มีรถยนต์เพียงแค่
รุ่นเดียว คือ NETA V เมื่อโปรดักส์ขยายตัวมากขึ้นออกสู่ต่างจังหวัดมากขึ้น อาจเห็นรถยนต์ไฟฟ้า NETA ครอบคลุมทั่วประเทศมากขึ้น
GAC Aion
เป็นแบรนด์ที่พึ่งเข้าและมีดีลเลอร์เข้าทำการติดต่อแล้ว แบรนด์ของทาง GAC เป็นของ GuangZhou Automotive มีแพลนจะเปิดให้ได้ 30 สาขาภายในสิ้นปี 2023 โดยจะทำรถยนต์ไฟฟ้าชื่อแบรนด์ AION
จากการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น GAC Aion Y plus ที่ราคาหนึ่งล้านกว่า ๆ ส่งผลให้การตอบรับยังไม่ดีเท่าทีควร
จึงต้องมาดูการเข้ามาทำตลาดของรุ่น GAC Aion S plus ว่าจะสามารถดึงความเชื่อมั่นกลับมา
GAC Aion มี Mega Distributor โดยมี 4 จ้าวใหญ่ ภายใต้บริษัท โกลด์ อินทิเกรท ที่ดูแลในเรื่องของ
การจัดจำหน่าย ซึ่งจะมี 4 Distributor ใหญ่ ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ Jinhul ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ COM7
เป็นผู้ผลิตขายสินค้า IT ที่จะเข้ามาจัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า
ซึ่งในแต่ละรายมีอำนาจในการแต่งตั้งดีลเลอร์รายย่อย เพื่อเพิ่มจำนวนดีลเลอร์จาก 30 อาจจะขยายไปถึง 50 ภายในสิ้นปี
CHANGAN
โดยนำรถยนต์ไฟฟ้าซีรีส์ Deepal เข้ามาในตลาดด้วยกัน 2 รุ่น อาทิ รถเก๋งไฟฟ้า รุ่น Deepal SL03 และ
รถ SUV Crossover ซึ่งเทียบเท่ากับ Tesla Model Y คือ Deepal S7 ที่การดีไซส์มีความสวยงาม ทาง CHANGAN
มีการติดต่อกับทางดีลเลอร์เรียบร้อยแล้ว โดยให้ไปดูโรงงานที่รัฐฉงชิ่ง และมีการตั้งเป้าตั้ง 15 โชว์รูม ในปี 2023
CHERY
แบรนด์นี้จะเข้ามาที่ประเทศไทยในช่วงต้นปี 2024 มีแพลนที่จะตั้งโชว์รูมจำนวน 40 โชว์รูม CHERY จะเข้ามาทำแบรนด์ภานใต้แบรนด์ O&J (OMODA&JACCO) ซึ่ง JACCO เป็นแบนด์หนึ่งในเครือของ CHERY โดยรถทั้ง 2 รุ่น
มาทำตลาด โดยจากรถยนต์รุ่น OMODA 5 เข้ามาทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยก่อน โดยจะตั้งบริษัท O&J ภายใต้กลุ่มของ Chery Group
และจัดตั้งตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ และเล็งว่าภายในปี 2023 จะมีตัวแทนจำหน่ายจำนวน 30 – 40 และจะเริ่มสร้างโชว์รูมในปี 2024 ทางแบรนด์จากเริ่มทำตลาดในกรุงเทพและในจังหวัดหัวเมืองใหญ่ ๆ เป็นการตลาดเบื้องต้นก่อน เพื่อดูกระแสการตอบรับ
ในวันนี้ก็จะเห็นว่าดีลเลอร์ของค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นและดีลเลอร์บริษัท IT เข้ามาทำอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า
เช่นเดียวกัน อาทิ ค่าย BYD มีบริษัท ซัสโก้ จำกัด (มหาชน) มาเป็นดีลเลอร์รถยนต์ ชื่อ SUSCO Beyond
จึงเห็นได้ว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเป็นตลาดเนื้อหอมที่หลายคนสนใจอยากเข้ามา ซึ่งช่องทางเลือกที่ดี คือ
การเข้าเป็นดีลเลอร์ จะเป็นทางที่เริ่มต้นง่ายที่สุดในการเริ่มต้นเข้าสู่เทรนรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังจะเติบโต
แบบก้าวกะโดดในอนาคตข้างหน้า
และนี้คือเรื่องราวสาเหตุที่ดีลเลอร์ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นหันมาจัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีน
ซึ่งคุณสามารถดูข่าวนี้ได้จากคลิปด้านล่าง ถ้าหากคุณชอบคลิปนี้ขอฝาก กด LIKE กด SHAREกด SUBSCRIBE
ที่ช่องของพวกเราด้วยนะครับ
