สกัดจีนไม่อยู่แล้ว!! Huawei ผลิตชิปเองได้ หลังถูกเมกาแบนร่วม 3 ปี ลุ้นขึ้นแท่นผู้นำด้านเทคยุคต่อไป!?

         หากกล่าวถึงเทคโนโลยีไมโครชิพ หรือชิปประมวลผล จะเห็นได้ว่าประเทศมหาอำนาจทั้งหลายต่างแย่งชิง
ต้องการเป็นผู้นำเรื่องของเทคโนโลยีไมโครชิพ ไม่ว่าจะเป็นประเทศสหรัฐอเมริกากับประเทศจีนที่เป็นคู่แข่ง
ในเรื่องของเทคโนโลยีมาตลอด เพราะต่างฝ่ายต่างกลัวการได้เปรียบเสียเปรียบจากเรื่องของความสามารถ
ที่จะผลิตไมโครชิพได้ออกมาอย่างรวดเร็วและทำราคาให้ถูกกว่า

         และเมื่อพอประเทศจีนมีแนวโน้มที่จะสามารถทำได้ ทางประเทศสหรัฐอเมริกาไม่ยินยอมและกีดกันอีกฝ่ายไป
ซึ่งความน่ากลัวของการเป็นมหาอำนาจของเทคโนโลยีไมโครชิพ หรือที่เรียกว่า Semiconductor

         จะมีลักษณะเป็นชิปสีดำที่ด้านใน จะมีวงจรจำนวนหลายพัน หรือหลายหมื่น เปรียบเสมือนเป็นสมองและหัวใจของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องใช้สำหรับการประมวลผลทั้งหลาย ซึ่งจะใช้ใน Smartphone Tablet คอมพิวเตอร์ หรือแม้กระทั่งรถยนต์อย่างรถยนต์ไฟฟ้าที่จะใช้ชิปเซ็ตจำนวนมาก

         เมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงของการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ที่ไลน์รถยนต์ไม่สามารถทำ
การผลิตออกมาได้ เพราะจะต้องรอชิปเซ็ตที่ขาดแคลน

         รวมทั้งจากการเข้าสู่ยุค Intelligent ที่ให้ความสำคัญในเรื่องของข้อมูล AI (ปัญญาประดิษฐ์)
เทคโนโลยีการสื่อสาร และเทคโนโลยีหุ่นยนต์

         โดยทุกอุตสาหกรรมที่กำลังจะเติบโตสิ่งที่ต้องการมากที่สุด คือ เรื่องของเทคโนโลยีชิปเซ็ต ที่หากใครสามารถ
ทำออกมาหรือครองตลาดส่วนนี้ได้ คนกลุ่มนั้นจะมีความได้เปรียบและเป็นมหาอำนาจในอุตสาหกรรม
เซมิคอนดักเตอร์ และที่สำคัญในยุคหลังจากนี้เซมิคอนดักเตอร์จะเป็นที่ต้องการอย่างมาก

         ในช่วงปี 2020 – 2030 ช่วงทศวรรษนี้ อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ หรือไมโครชิพเติบโตมากขึ้น
อย่างต่อเนื่องแบบก้าวกระโดด โดยภายในอีก 10 ปี หรือปี 2030 จะเติบโตที่ 100% โดยมูลค่าตลาดจาก
467 พันล้าน USD เพิ่มขึ้นเป็น 940 พันล้าน USD จากการที่ทุกอุตสาหกรรมจะต้องพึ่งพาเรื่องของเทคโนโลยี
ไมโครชิพ

         ปัจจุบันสัดส่วนผู้ผลิตไมโครชิพของทั่วทั้งโลกจะเรียงอันดับ ตามต่อไปนี้

                 อันดับที่ 1 สหรัฐอเมริกา  มีสัดส่วนอยู่ที่ 46%
                 อันดับที่ 2 เกาหลีใต้  มีสัดส่วนอยู่ที่ 21%
                 อันดับที่ 3 ญี่ปุ่น  มีสัดส่วนอยู่ที่ 9%
                 อันดับที่ 4 European Union  มีสัดส่วนอยู่ที่ 9%
                 อันดับที่ 5 ไต้หวัน  มีสัดส่วนอยู่ที่ 8%
                 อันดับที่ 6 จีน  มีสัดส่วนอยู่ที่ 7%

         จะเห็นได้ว่าประเทศจีนมีสัดส่วนห่างประมาณ 40% เมื่อเทียบกับประเทศอเมริกา ถือว่ายังห่างชั้นอย่างมาก

         ทางประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่ส่งออกไปทั่วทั้งโลก แต่ไม่ได้หมายความว่า
จะเป็นผู้นำเรื่องของเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์
         ซึ่งวันนี้ทางประเทศจีนพยายามซุ่มพัฒนาเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ที่จะเป็นหัวใจสำคัญในยุคต่อไป
จึงมีการผลักดันบริษัทที่มีศักยภาพเพียงพอที่จะเติบโตเป็นบริษัทระดับโลก คือ Huawei

         Huawei เป็นบริษัทอุปกรณ์โทรคมนาคมที่ใหญ่มากที่สุดของโลกและมีลูกค้าอยู่ทั่วโลก หนึ่งในเทคโนโลยีที่เป็น
ที่ต้องการมากที่สุด คือ อุปกรณ์โครงสร้างเกี่ยวกับเทคโนโลยีสื่อสาร หรือ เทคโนโลยี 5G

         ซึ่งเทคโนโลยี 5G เป็นเทคโนโลยีที่กำลังใช้งานอยู่ในปัจจุบัน จากการใช้งานทั้งในเรื่องของ Internet
การส่ง Data Roaming และการประมวลผล Data ที่มีการส่งไปและกลับ

         ดังนั้นเรื่องของความไวของอุปกรณ์สื่อสารจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ และอุปกรณ์สื่อสารของ Huawei
สามารถทำได้เป็นอย่างดี ทั้งในเรื่องของเสาส่งสัญญาณ เสารับสัญญาณขนาดใหญ่
          เพราะฉะนั้นอุปกรณ์ของ Huawei ที่เป็น 5G ทั้งหมด จึงมีประสิทธิภาพที่ดีและมีความเร็วที่ไวมาก
ที่สำคัญมีราคาถูกมากกว่าเจ้าอื่นในท้องตลาด

         จึงไปสะดุดตากับตลาดมหาอำนาจอย่างประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเมื่อ 3 ปีก่อน ทางหน่วยงาน FCC
(Federal Communication Commission)
ของประเทศสหรัฐอเมริกา

         ถึงขนาดสั่งแบน หรือคว่ำบาตรบริษัท Huawei ทั้งในเรื่องการนำเข้าซื้อขายอุปกรณ์หรือเทคโนโลยีทุกอย่าง
ที่เกี่ยวกับการผลิตชิปเซ็ต โดยให้เหตุผลว่าเป็นการปกป้องความมั่นคงของประเทศ เพราะทาง Huawei มีการทำอุปกรณ์กล้องวงจรปิดและอุปกรณ์สื่อสาร ที่อาจจะดักเก็บข้อมูลของประชากรของประเทศอเมริกา

         จากการที่ Huawei โดนคว่ำบาตร จึงต้องหยุดผลิตชิปเซ็ตของตัวเอง เรียกได้ว่าไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับ
ธุรกิจที่เป็นชิปเซ็ต เซมิคอนดักเตอร์ หรือการสื่อสารได้หมด ตั้งแต่ปี 2020 ส่งผลให้เทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์
ไม่ได้รับการพัฒนาต่อ

         แต่เมื่อเดือนสิงหาคม 2566 ทางสมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ หรือ SIA (Semiconductor Industry Association)

         ออกมาเตือนว่าทาง Huawei แอบเข้าซื้อโรงงานผลิตชิปเซ็ตหลายแห่งในประเทศจีน ซึ่งจะมีทั้งการซื้อและ
สร้างโรงงาน เพราะในเมื่อ Huawei ถูกสั่งแบน จะหาทางเลือกอื่นโดยไปจดบริษัทใหม่ที่ทาง Huawei จะคอยซัพพลายทรัพยากรให้ จึงเกิดเป็นเครือข่ายผลิตชิปเซ็ตอย่างลับ ๆ ของทาง Huawei

         ทาง SIA เริ่มตั้งข้อสงสัยว่า Huawei ำด้ทำการเข้าซื้อโรงงานผลิตชิปเซ็ตจำนวน 2 แห่งและกำลังสร้าง
โรงงานขึ้นอีก 3 แห่งในประเทศจีน ซึ่งหากบริษัทไหนถูกจับได้ว่าเป็นบริษัทลับ ๆ ของทาง Huawei จะถูกคว่ำบาตร
ขึ้นแบล็คลิส

         ผู้นำในกลุ่มขององค์กรสมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ จะมีแบรนด์ที่รู้จักกันดี ไม่ว่าจะเป็น Intel Samsung และ TSMC ของไต้หวัน

         จากการที่ Huawei แอบมาสร้างชิปเซ็ต ทำให้เกิดความกังวลว่า หาก Huawei สามารถสร้างชิปเซ็ต
หรือ ได้รับเทคโนโลยีที่สามารถสร้างชิปเซ็ตขึ้นมาได้ จะทำให้ Huawei กลายเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีชิปเซ็ตและ
จะเป็นคู่แข่งในตลาด จึงพยายามกีดกันให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำ

         แต่ในที่สุดฝันร้ายก็กลายเป็นจริง จากการขับเคลื่อนใต้ดินกลายเป็นว่าปัจจุบันทาง Huawei มีการร่วมมือกับทางบริษัท SMIC (Semiconductor Manufacturing International Corp) ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปเซ็ตรายใหญ่ของประเทศจีน

         ทำการผลิตชิปเซ็ตขนาด 7 นาโนเมตร ที่เอามาใช้ในเทคโนโลยีมือถือชื่อว่า Huawei Mate 60 Pro
ที่มีกระแสโด่งดังว่าชิปเซ็ตสามารถประมวลผลได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วว่องไวอย่างมาก

          ถึงขนาดที่สำนักข่าวใหญ่อย่างบลูมเบิร์ก จะต้องทำการแยกชิ้นส่วนออกมาดู ผลปรากฏว่าชิปเซ็ตที่ใช้เป็น
ชิป Kirin 9000s ที่ใช้เทคโนโลยีสถาปัตยกรรม 7 นาโนเมตร และรองรับเทคโนโลยี 5G ดังนั้นชิปเซ็ตตัวนี้ได้
ถูกพัฒนาโดย Huawei อย่างแน่นอน

         หากมองจริง ๆ แล้ว ทาง SMIC ผู้ผลิตชิปเซ็ตรายใหญ่ของประเทศจีนออกมาบอกว่าเทคโนโลยีชิบเซ็ต
ยังคงตามหลังประเทศสหรัฐอเมริการ่วม 10 ปี เมื่อเปรียบเทียบกับ TSMC Intel หรือ Samsung ซึ่งเป็น
ผู้ผลิตชิปเซ็ตชั้นนำ

         การผลิตชิปเซ็ตให้ได้ขนาดเล็กกว่า 14 นาโนเมตร จะต้องใช้เทคโนโลยีเฉพาะที่เรียกว่า เทคโนโลยี
Extreme Ultraviolet Lithography Machine หรือเรียกสั้น ๆ ว่า EUV

         เป็นการสลักรูปวงจรไฟฟ้าเข้าไปในแผงเซมิคอนดักเตอร์ ทำให้เกิดวงจรขนาดเล็ก ซึ่งเป็นสิทธิบัตรของ
ประเทศสหรัฐอเมริกาที่ทำร่วมกับบริษัท ASML เป็นบริษัทสัญชาติเนเธอร์แลนด์

         หมายความว่าการคว่ำบาตร Huawei หรือประเทศจีน จะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดังกล่าว

         การที่ Huawei สามารถผลิตชิปเซ็ตต่ำกว่า 14 นาโนเมตร โดยไม่พึ่งพาเทคโนโลยี ASML หรือเครื่องมือ
เครื่องจักรของทางประเทศสหรัฐอเมริกา บ่งบอกได้ว่าทาง Huawei สามารถยืนได้ด้วยตัวเองในการผลิตชิปเซ็ต
ตัวนี้ขึ้นมาจะเป็นส่งที่น่ากล้ว เพราะว่าประเทศจีนมีความได้เปรียบทั้งในเรื่องของทรัพยากรและเรื่องของต้นทุน
แต่เรื่องของเทคโนโลยียังคงตามหลังประเทศสหรัฐอเมริการ่วม 10 ปี

          แต่พอมาวันนี้การที่ Huawei สามารถทำชิปเซ็ต 7 นาโนเมตรได้ จะส่งผลให้ช่องว่างความห่างชั้น

เรื่องเทคโนโลยีชิปเซ็ตร่วม 10 ปีดังกล่าวจะหายไป และอาจจะทำให้ประเทศจีนกลายเป็นผู้นำเรื่องของ
เทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ ส่งผลให้ประเทศจีนสามารถเติบโตมากขึ้น เพราะเทคโนโลยีหลังจากนี้ยังคง
ต้องพึ่งพาเซมิคอนดักเตอร์อีกมาก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยเฉพาะยานยนต์แห่งอนาคตข้างหน้า
ที่จะต้องใช้เซมิคอนดักเตอร์มากขึ้นอย่างแน่นอน

          และนี่คือความน่ากลัวที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า ทำให้ประเทศสหรัฐอเมริกาจะต้องระวังหลังเอาไว้

         คุณสามารถดูข่าวเรื่องนี้ได้จากคลิปด้านล่างและถ้าหากคุณชอบคลิปนี้ขอฝาก กดLIKE กด SHARE
กด SUBSCRIBE ที่ช่องของพวกเราด้วยนะครับ

Share

FOLLOW US


WELLDONE GUARANTEE

452 Pecthkraseam Rd. Laksong Bangkhae, Bangkok 10160
Email : welldone.guarantee@gmail.com Tel. 0889415944

Copyright © 2022 EV GUARANTEE All rights reserved.