ทำไม BYD จะกลายเป็นรถEV เบอร์ 1 โลก!? หลังยอดขายโตไว แซงเจ้าตลาดอย่าง Tesla อะไรคือกุญแจสำคัญ!?

         ขณะนี้เกิดข้อถกเถียงขึ้นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังมาแรง เมื่อกล่าวถึงเจ้าตลาดรถยนต์ไฟฟ้า จะต้องนึกถึง นาย อีลอน มัสก์ กับแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้า Tesla เพราะ Tesla
เป็นผู้ปฏิวัติวงการ ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าเกิดการค้า ที่มีการจำหน่ายและการใช้งานจริงแทน
รถยนต์น้ำมัน เมื่อมาถึงปัจจุบันนอกจากค่าย Tesla ยังมีแบรนด์ของประเทศจีน คือ
BYD (Build Your Dream)
เป็นแบรนด์ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วและในไตรมาสที่ 4 ปี 2023
มียอดการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเดียวนำหน้า Tesla เรียบร้อยแล้ว

         และจากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญหลายท่านที่มีการวิจัยวิเคราะห์ ต่างกล่าวกันว่าในอนาคต Tesla จะถูกแซงหน้าแบบไม่เห็นฝุ่น เพราะค่าย BYD มีปัจจัยสนับสนุนอยู่หลายข้อ

         โดยวันนี้เราจะมาพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ความรู้และแลกเปลี่ยนมุมมอง คือ
อาจารย์ Big จากช่อง The BIG Secret Channel
ทางอาจารย์ Big เป็นผู้ที่มีความรู้และติดตามข่าวสารในเรื่องของธุรกิจเศรษฐศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งปัจจัยที่สนับสนุนให้ BYD สามารถแซงหน้า Tesla มาจากบทวิเคราะห์จากทางบลูมเบิร์ก

ปัจจัยที่สนับสนุนให้ BYD สามารถแซงหน้า Tesla

1. การสนับสนุนของทางรัฐบาล

         เหตุผลหลักที่ทางค่าย BYD มีความได้เปรียบมากกว่าทาง Tesla ในเรื่องของการสนับสนุนด้านการลดหย่อนภาษี ซึ่งเรื่องของการลดหย่อนภาษีในช่วงปีที่ผ่านมาจนถึงปี 2024 แพลนของประเทศจีนมีการวางแผนจะมีงบประมาณ เพื่อมาอุดหนุนกับค่ายรถยนต์ไฟฟ้าในทุก ๆ ค่ายที่เป็นผู้ผลิต รวมถึง Tesla ซึ่งเป็นจำนวนเงินอยู่ที่ 30 Billion USD คือ 3 หมื่นล้านเหรียญ
คิดเป็นสกุลเงินไทยอยู่ที่แสนล้านบาท และมีแผนที่จะขยายเป็นจำนวนเงินอยู่ที่ 97 Billion USD ในปี 2027 สำหรับผู้ที่หันทำพลังงานสะอาดและเป็นการการันตีที่ประเทศจีนเอาจริงด้านการผลักดันในเรื่องของรถยนต์ไฟฟ้า

         เหตุจากช่วงหนึ่งที่ประเทศจีนประสบปัญหามลพิษทางอากาศ อาทิ ฝุ่นพิษ PM
เพราะประเทศจีนเป็นโรงงานของโลก ซึ่งสินค้าทุกอย่าง จะผลิตมาจากประเทศจีน 

จากการจัดโอลิมปิก ที่เมืองปักกิ่ง มีฝุ่นพิษ PM เป็นจำนวนมาก

         ประกอบกับประสบปัญหาในเรื่องของด้านพลังงาน อาทิ จากความขัดแย้งกับทางสหรัฐอเมริกา ทำให้ประเทศจีนโดนตัดตอนเรื่องน้ำมันตลอดเวลา ดังนั้นประเทศจีนจึงเริ่มผลักดันในเรื่องของยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นพลังงานสะอาด แผนการมีการกล่าวมาเป็นระยะเวลา 20 ปี หรือถ้านับตามจริงจะมีระยะเวลาอยู่ที่ 30 ปี โดยเริ่มตั้งแต่ปี 1990 ซึ่งตอนนี้เริ่มเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น ในช่วงเวลาก่อนหน้าจะเป็นการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อใช้ภายในประเทศเพียงอย่างเดียว
ยังไม่มีแผนการผลิต เพื่อการส่งออก มามองได้ชัดเจนเมื่อมีการผลักดันให้เป็น
Products Champion

         เมื่อรถยนต์ไฟฟ้าถูกผลิตในจำนวนมากขึ้น จากแรงผลักดันที่ส่งผลให้เกิดค่ายรถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศจีนถึงการส่งออกเป็นจำนวนมาก แสดงถึงการที่รัฐบาลประเทศจีนแนวคิดที่จะผลักดันให้รถยนต์ไฟฟ้าเป็น Products Champion ของประเทศจีน

         เมื่อมาวิเคราะห์จากเศรษฐกิจของประเทศจีนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งประเทศจีนเข้าสู่ยุคเจริญรุ่งเรือง มาจากวงการอสังหาริมทรัพย์ โดยประเทศจีนมีการก่อสร้างเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมาโดย GDP มีการเจริญเติบโตระดับ 2 Digit มาจากการทำอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด แต่เป็นที่รู้กันว่าประเทศจีนกำลังประสบปัญหาวิกฤติในภาคอสังหาริมทรัพย์ฟอกสบู่แตก

         เพราะฉะนั้นประเทศจีนจึงต้องมองหาเครื่องจักรตัวใหม่ หรือเครื่องยนต์ตัวใหม่ที่จะมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยอยู่ใน Roadmap จะมีการผลักดันในเรื่องของรถยนต์ไฟฟ้า
, Semiconductor และเทคโนโลยีอื่น ๆ ประเทศจีนเคยเป็นฐานการผลิตมือถือมาก่อน และมีการผลิต IT Semiconductor รวมถึงมือถือ Apple จนมีแบรนด์สัญชาติจีนต่าง ๆ อาทิ Xiaomi,
อุปกรณ์แกดเจ็ต, HUAWEI หันมาผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เพราะมีการช่วยเหลือด้านการเงินจากรัฐบาลเป็นจำนวนมาก

         และค่าย BYD ได้รับผลประโยชน์อย่างเต็มที ซึ่งมีหลายคนเกิดความสงสัยเรื่องความได้เปรียบของค่าย BYD ที่จะมากกว่า Tesla ทั้งทีภาครัฐให้การสนับสนุนกับทุกค่ายรถยนต์ไฟฟ้า
ซึ่งการสนับสนุนดังกล่าว จะมองที่จำนวนของกำลังการผลิต ที่ยิ่งสามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกมาจำนวนมาก ส่งผลให้ได้รับเงินสนับสนุนมากขึ้นตามไปด้วย ถ้าหากการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้ในจำนวนน้อย จะได้รับเงินสนับสนุนจำนวนน้อย

         ซึ่ง Tesla ได้รับมีเงินสนับสนุนอยู่ เพราะมีโรงงานอยู่ภายในประเทสจีนที่เซี่ยงไฮ้ แต่ทาง BYD จะไม่ได้ผลิตแค่รถยนต์เท่านั้น โดยแรกเริ่มการเติบโตมาจากรถยนต์สาธารณะ อาทิ
รถแท็กซี่, รถเมล์ ตามเมืองที่มีชื่อต่าง ๆ อาทิ รถเมล์แดงของลอนดอน BYD, ฮ่องกง, เม็กซิโกซิตี้, นิวเดลี, เฮลซิงกิ จากที่กล่าวเหล่านี้จะใช้รถยนต์จากค่าย BYD ทั้งหมด อีกทั้งรถแท็กซี่และรถเมล์ มีจำนวนมาก ส่งผลให้ BYD ได้รับการช่วยเหลือด้านการเงินมากกว่าค่ายอื่น รวมถึงสามารถลดต้นทุนในการผลิตมากกว่าค่ายอื่น สามารถนำมาถ่ายโอนใส่โมเดลปกติที่จะทำเป็น High End ขึ้นมา ดังนั้นทาง Tesla เจอเรื่องแรก คือ BYD ได้รับเงินอุดหนุนภาษีของทางรัฐบาลจีนที่สนับสนุนแบรนด์ BYD เป็นแบรนด์ของชาติ เพื่อให้เป็น Products Champion ของประเทศจีน

2. Flexibility (ความยืดหยุ่น)

         CEO ของ BYD กล่าวว่า BYD มีการเติบโตในแนว Vertical ด้วยการควบคุมทุกอย่างมากกว่าแบรนด์อื่น ในแนว Vertical ผู้ที่อยู่ในวงการรถยนต์ทราบกันดี อาทิ Toyota ไม่สามารถผลิตชิ้นส่วนทั้งหมด จะต้องมี Supplier เทียร์ 1 เทียร์ 2 เทียร์ 3 โดย Toyota จะล้อมรอบด้วยบริษัทญี่ปุ่นก่อน จะมาที่ประเทศไทยมีบริษัทในประเทศไทยต่อเป็น เทียร์ 2 อีกอยู่แบบนี้วนไป
การกระจายออเดอร์ แต่ทาง Toyota จะเก็บในเรื่องของเทคโนโลยี อาทิ เครื่องยนต์, ประตู,
ฝาผับ, บานผับ, คัสซี เป็น Outsource ทั้งหมด และการเป็น Outsource จำนวนมาก
บริษัทเหล่านั้นย่อมหวังผลกำไร เมื่อมีการบวกผลกำไรสูงขึ้น จะเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น เมื่อเปรียบเทียบบริษัทที่เป็นผู้ผลิตตั้งแต่ต้นน้ำยังปลายน้ำทั้งหมดและบวกผลกำไรครั้งเดียวในขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งบริษัทเหล่านี้จะสามารถทำกำไรได้มากกว่าถึงแม้จะจำหน่าย Products ในราคาที่เท่ากัน

         เพราะฉะนั้นการเติบโตแบบ Vertical คือ ทาง BYD เป็นผู้ผลิตเองทั้งหมด (In house)
ยกตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือ Volkswagen ซึ่งมีชื่อเสียงและตั้งฐานการผลิตใน

ประเทศจีน ทาVolkswagen มีสัดส่วนที่เป็นผู้ผลิตเองเพียง 35 % ส่วนที่เหลือเป็นของ Outsource ทั้งหมด ดังนั้นกำไรที่ทาง Volkswagen พึ่งจะได้ส่วนมากไปอยู่ที่ Outsource ทั้งหมด ทำให้ราคาไม่สามารถลดต่ำลง

         เมื่อเทียบกับทาง Tesla มีสัดส่วนเป็นผู้ผลิตเองอยู่ที่ 65 % ในส่วนของ BYD อาทิ
BYD SEAL
สัดส่วนเป็นผู้ผลิตอยู่ที่ 75 % ดังนั้นจะมีส่วนต่างด้านกำไรถึง 10% ทำให้ทาง BYD ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้ในราคาที่ถูกมากกว่า

         จากการที่ BYD เป็นผู้ผลิตเองทั้งหมดตั้งแต่ต้นน้ำ ส่งผลให้ราคาต้นทุนถูก โดยรวมราคาต้นทุนทั้งหมดและคิดหากำไรในทีเดียว ดีกว่าการกำไรคนละต่อจนเป็นต้นทุนถึงปลายทาง
ทำให้ราคาสูงขึ้น

         BYD กับ Tesla ทาง BYD สามารถทำราคารถยนต์ไฟฟ้าได้ดีมากกว่ามีการ Flexibility ทาง CEO ของ BYD กล่าวว่าทางค่ายมีความยืดหยุ่น แนว Vertical ที่ค่อนข้างสูงในการผลิต
จะต้องยอมรับในปัจจุบันนี้ตลาดอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้ากำลังเกิดสงครามด้านราคาขึ้น
ถ้าค่ายรถยนต์ไฟฟ้ามีราคาต้นทุนที่ถูก จะมีความได้เปรียบในการเล่นกลยุทธ์การวางหมากได้ค่อนข้างมาก

3.แบตเตอรี่

         เมื่อที่ดูประวัติของ BYD โดยคุณหวัง ชวนฟู เรียนจบวิศวะเคมีเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเคมี
เรื่องของแบตเตอรี่เป็นเรื่องปฏิกิริยาด้านเคมี ทาง BYD เป็นผู้แบตเตอรี่เป็นของตัวเอง ซึ่งจะมีไม่กี่ค่ายรถไฟฟ้าในโลกที่สามารถทำได้ ส่วน Tesla นำแบตเตอรี่มาประกอบเอง แต่ไม่ใช้ทุกส่วนของทาง Tesla เป็นผู้ผลิตเอง ยังมีความจำเป็นต้องหาซื้อบางส่วน อาทิ ซื้อเซลล์มาแล้วนำมาแพค
ในส่วนของการประกอบการ Tesla เป็นผู้จัดทำ

         แต่ทาง BYD จะทำตั้งแต่ต้นน้ำเริ่มไปที่เหมืองจนถึงปลายน้ำ ประกอบกับทางค่าย BYD
มีตลาดที่กว้างตลาดรถยนต์ รถแท็กซี่ รถเมล์คันใหญ่ จำพวกรถสาธารณะ มีโอกาสที่สามารถผลิตเป็นจำนวนมาก เรื่องของเซลล์ของแบตเตอรี่ ที่ผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตแบตเตอรี่มีราคาถูกมาก

         ตอนนี้มีการแข่งขันในเรื่องของต้นทุนเฉพาะต้นทุนของแบตเตอรี่แข่งที่ Economy Scale หากผลิตรถยนต์เป็นจำนวนมาก ทำการ Feed รถสาธารณะ อาทิ รถแท็กซี่, รถเมล์, รถขนส่ง ทาง BYD เติบโตจากรถขนส่ง

         ต้นกำเนิดของ BYD ช่วงก่อนหน้า ไม่ได้เริ่มที่การผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ ไม่เป็นผู้ผลิตรถยนต์ โดยแรกเริ่มต้นแต่ปี 1995 ทาง BYD เป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่มือถือ ยังมี CEO ของ BYD ที่เป็นวิศวกรเคมี ถือว่ามีความได้เปรียบ มองที่การผลิต 75 % ผลิตแบบ In House ส่วนที่มีค่ามากที่สุดใน 75 % คือแบตเตอรี่เป็นส่วนมีมูลค่าสูงสุดเป็นราคาครึ้งหนึ่งของรถยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งทาง BYD มี Know-How สามารถผลิตเองและผลิตได้เป็นจำนวนมาก จึงเป็นความได้เปรียบและสามารถลดต้นทุนการผลิตค่อนข้างมาก

         จาก 3 ปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ BYD ค่อนข้างจะมีความแข็งแกร่งและยอดจำหน่ายในไตรมาสที่ 4 นำหน้า Tesla เรียบร้อยแล้ว ด้วยยอดจำหน่ายที่ 526,409 คัน ในขณะที่ส่วนของ Tesla มียอดจำหน่ายอยู่ที่ 483,409 คัน

         ทางนาย อีลอน มัสก์ ออกมายอมรับว่าค่าย BYD เป็นคู่แข่งที่น่ากลัว เมื่อมองในมุมของตลาดรถยนต์ไฟฟ้ารวม 3 ปัจจัย ไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจทาง BYD สามารถแซงนำหน้า Tesla และ BYD มี Model Segment จำนวนมาก อาทิ Citycar, SUV, SUV Crossover

         เมื่อมองทาง Tesla มีจำนวน Model ที่น้อย อาทิ 3 รุ่น Y ถือว่ามาตรฐาน ส่วนของ BYD อาทิ Eco Car ไปจนถึงรถยนต์ขนาดใหญ่ ทุกอย่างต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ 75 % รวมถึงในส่วนของต้นทุนสามารถแบ่งข้ามกันได้ โดยเฉพาะโมเดลของรถยนต์ขนาดใหญ่ โดยสามารถแบ่งต้นทุนกับรถเมล์ เพราะแบตเตอรี่เซลล์มีวิธีการผลิตที่คล้ายกัน จึงสามารถลดต้นทุนให้ต่ำลง

         ดังนั้นเรื่องต้นทุนของแบตเตอรี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าค่ายรถสามารถผลิตแบตเตอรี่ออกมาได้ในราคาที่ถูก จะมีความได้เปรียบด้านแข่งขันค่อนข้างสูง รวมทั้งยอดจำนวนรถยนต์ที่มีมากขึ้น มีการอุดหนุนจากรัฐบาล และการผลิตแบบแนว Vertical เป็นผู้ผลิตเองส่วนใหญ่

         ทั้ง 3 ปัจจัยจึงทำให้ทางบลูมเบิร์กวิเคราะห์ว่า BYD กลายเป็น The KING OF EV หรือ NEXT TOYOTA ของยุค EV และนี้คือฉายาของ BYD

         ซึ่งในปัจจุบันความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าในตลาดมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์น้ำมัน ทาง BYD ถือเป็นเจ้าแรกที่เริ่ม Challenge รถยนต์น้ำมัน โดยมองยอดจำหน่าย Top 10 ในปี 2023 ทาง TOYOTA อยู่อันดับที่ 1 มียอดจำหน่ายอยู่ที่ 10.65 ล้านคัน ในขณะที่ค่าย BYD อยู่ในอันดับที่ 9 ของโลก เป็นรถยนต์ไฟฟ้าเพียงรายเดียวที่สามารถแซมเข้ามาในหมู่รถยนต์น้ำมันทั้งหมด 9 ค่าย ทาง BYD จะอยู่อันดับที่ 9 มียอดจำหน่ายอยู่ที่ 3.01 ล้านคัน อยู่เหนือกว่า Suzuki Group ที่อันดับ 10 อยู่อันดับต่ำกว่า Ford, Honda ข้ามไปแข่งกับรถยนต์น้ำมันเป็น
เจ้าตลาดอยู่มานาน

         และนี้คือเรื่องราวของ BYD ที่อนาคตจะแซงหน้าทิ้ง Tesla แบบไม่เห็นฝุ่น เป็น The KING OF EV หรือ New NEXT TOYOTA หากสนใจเรื่องราวนี้สามารถเข้ามาชมได้ที่คลิปด้านล่างนี้ 
กด LIKE กด SHAREกด SUBSCRIBE ที่ช่องของพวกเราด้วยนะครับ

Share

FOLLOW US


WELLDONE GUARANTEE

452 Pecthkraseam Rd. Laksong Bangkhae, Bangkok 10160
Email : welldone.guarantee@gmail.com Tel. 0889415944

Copyright © 2022 EV GUARANTEE All rights reserved.