เมื่อกล่าวถึงเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน หลายคนจะนึกถึงเรื่องของรถยนต์ไฟฟ้าที่มี 4 ล้อ ที่มี
การถกเถียงการเป็นผู้นำของรถยนต์ไฟฟ้าระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาจากค่ายรถที่ได้รับความนิยมจากทั่วโลกอย่าง Tesla หรือ ประทศจีนจากจำนวนคนใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่มีมากกว่า 4 ล้านคันและยอดจดทะเบียนสะสม
โดยแบรนด์ที่มีชื่อเสียง อาทิ NIO, Li Auto และ Xpeng ที่ทำการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แนสแด็กของประเทศสหรัฐอเมริกา ดังนั้นประเทศจีนและประเทศสหรัฐอเมริกาจึงขึ้นแท่นเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า
แต่สำหรับรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าจะเป็นประเทศอินเดียที่จะติดทำเนียบขึ้นเป็นผู้นำด้านจักรยานยนต์ไฟฟ้า
ประเทศอินเดียมีความน่าสนใจจากการเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่อันดับที่ 5 ของโลก และมีจำนวนประชากร
สูงถึง 1,400 ล้านคน ประกอบกับประชาชนของประเทศอินเดียจะนิยมใช้รถมอเตอร์ไซค์มากกว่ารถยนต์ ตามสภาพของถนนหนทางที่มีขนาดเล็กและแบ่งเป็นซอยต่าง ๆ ประกอบกับมีจำนวนคนเดินบนท้องถนนจำนวนมาก
นอกจากนี้ประชากรมีรายได้ที่ไม่สูงมาก ส่งผลให้การใช้ยานพาหนะพื้นฐานส่วนใหญ่จะเป็นรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า
หรือ 2 สองล้อ เพราะการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าที่มี 4 ล้อ มีราคาที่สูงมากและเข้าถึงได้ยาก
เมื่อปี 2565 ที่ผ่านมา มียอดจดทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์จำนวนเฉลี่ยอยู่ที่ 250,000 คันต่อปี ซึ่งประเทศอินเดียมีการใช้รถมอเตอร์ไซค์ ณ ปัจจุบันอยู่ที่อันดับ 6 ของโลก
6 อันดับประเทศแรกที่ใช้รถมอเตอร์ไซค์ในปี 2565
อันดับที่ 1 ไทย (Thailand) จำนวน 87% มียอดจดทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์ที่เป็นรถใหม่จำนวน 1.8 ล้านคัน
อันดับที่ 2 เวียดนาม (Vietnam) จำนวน 86%
อันดับที่ 3 อินโดนีเซีย (Indonesia) จำนวน 85%
อันดับที่ 4 มาเลเซีย (Indonesia) จำนวน 83%
อันดับที่ 5 จีน (China) จำนวน 60%
อันดับที่ 6 อินเดีย (India) จำนวน 47%
จากการที่ประเทศอินเดียหันมาใช้รถมอเตอร์ไซค์ ส่งผลให้อุตสาหกรรรมรถมอเตอร์ไซค์ขยายตัว ทางบริษัท
เบน แอนด์ คอมพานี ได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูล พบว่ายอดขายของรถมอเตอร์ไซค์ของประเทศอินเดียมีการเติบโตสูงถึง 40% – 50% อีกทั้ง และภายในปี 2030 จะมียอดจดทะเบียนเติบโตถึง 13 ล้านคัน
ส่วนใหญ่จะเป็นการเติบโตของรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ประกอบกับทางประเทศอินเดียมีแผนที่จะแบนรถน้ำมัน
ไม่ให้มีการจัดจำหน่ายตั้งแต่ปี 2030 เป็นต้นไป เพราะฉะนั้นยอดของการเติบโตหลังจากนี้ โดยส่วนใหญ่จะมาจาก
ยอดของรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า
จะเห็นได้ว่าตลาดรถมอเตอร์ไซค์ของประเทศอินเดียมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้น เพราะอยู่ในช่วงของการเริ่มต้น ประกอบกับในอนาคตรัฐบาลอินเดียจะมีการแบนรถน้ำมัน ดังนั้นหลายคนจึงมีความสนใจในการลงทุนการผลิต
รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า โดยมีเป้าหมายจะครอบครองส่วนแบ่งทางการตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตมากขึ้นจากปริมาณจำนวนประชาชน
แบรนด์รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าของอินเดียที่ได้รับความนิยม มีดังนี้
1. OLA EV
ถูกเรียกฉายาว่าเป็น รถ Tesla ในร่างของรถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งชื่อเต็ม คือ Ola Electric Mobility ซึ่งบางคนนิยมเรียกว่า Ola Electric ก่อตั้งเมื่อปี 2017 หรือประมาณ 6 ปีที่ผ่านมา เป็นบริษัทผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า
2 ล้อ สัญชาติอินเดีย
Ola Electric เป็นบริษัทลูกของ Ola Cabs ซึ่งเป็นบริษัทบริการให้เช่ารถยนต์ รถแท็กซี่ ซึ่งในช่วงภายหลัง
ทาง Ola Cabs มีการเปลี่ยนมาใช้พลังงานไฟฟ้า โดยมีการทำแท็กซี่ไฟฟ้า รถโดยสารไฟฟ้า และรถลากจูงไฟฟ้า
นอกจากนี้ Ola Electric ตั้งอยู่ในเมืองบังกาลอร์ ประเทศอินเดีย มูลค่าของบริษัทอยู่ที่ประมาณ
6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีโรงงานผลิตประกอบ ซี่งโรงงานขนาดใหญ่ที่ผลิตรถมอเตอร์ไซค์ให้กับ Ola Electric ตั้งอยู่ที่เมืองกฤษณะคีรี ณ รัฐทมิฬนาฑู
รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ารุ่นที่ทำออกมา คือ OLA S1
จะแบ่งเป็น 3 รุ่นย่อย คือ OLA S1 Air, OLA S1 Pro และ OLA S1X สำหรับ OLA S1X มีแผนเปิดตัวประมาณช่วงปลายปี 2024 ส่วนความพิเศษของแบรนด์นี้มาจากการมีเทคโนโลยีแพลตฟอร์มเป็นของตัวเอง
แพลตฟอร์ม Ola Electric มีส่วนประกอบที่สำคัญทั้งหมด 4 อย่าง
1. แบตเตอรี่
ซึ่งแบตเตอรี่ของ OLA จะเป็น 18650 จะประกอบอยู่ในเคสที่เป็นอะลูมิเนียมแข็งทรงโค้ง ทำให้นึกถึงแบตเตอรี่แพ็คของรถยนต์ Tesla หรือรถยนต์ขนาดใหญ่ อย่าง BYD จากเทคโนโลยี Blade battery โดยรูปทรงของแบตเตอรี่ตัวนี้จะไม่เหมือนกับแบตเตอรี่แบบกล่อง แต่จะมีลักษณะเป็นทรงโค้งที่สอดคล้องกับรูปทรงของรถมอเตอร์ไฟฟ้าและจะติดตั้งอยู่ใต้ท้องรถ ณ จุดบริเวณที่เท้าเหยียบ ซึ่งเป็นจุดที่ดีที่สุดมีค่า CG ต่ำ ส่งผลให้รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ามี
สมรรถนะที่ดี ประกอบกับมีการซีนและค่า IP อยู่ที่ 67 จึงสามารถกันน้ำได้และระบายความร้อนด้วยอากาศ
2. มอเตอร์
เป็นหัวใจสำคัญของแพลตฟอร์มรถมอเตอร์ไฟฟ้าของ OLA ซึ่งมอเตอร์ของรุ่น Pro จะเป็นมอเตอร์ Mid Drive ประกอบด้วยชุดคอนโทรลที่ควบคุมรอบ ซึ่งจะส่งกำลังด้วยสายพานไปที่ล้อหลัง
3. ส่วนอิเล็กทรอนิกส์
คือ ชุดสายไฟ หน้าจอ ระบบของรถ (Infotainment) ของรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ซึ่ง OLA มีสิ่งที่แสดงถึง
ความสุดยอดที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นสมาร์ทมอเตอร์ไซค์ เพราะนอกจากการขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าเพียง
อย่างเดียว ยังมีระบบสมาร์ทที่สามารถคอนโทรลทุกอย่าง ยกตัวอย่าง รถของ Tesla ที่มีเซ็นเซอร์ ความสามารถ
ปลดล็อคผ่านจากหน้าจอมือถือ การปลดล็อคเปิดเบาะ การเช็คความเร็ว ระบบ GPS ซึ่งของ OLA สามารถทำได้
เช่นเดียวกัน จากที่กล่าวมาทั้งหมดสามารถมอนิเตอร์ผ่านหน้ามือถือได้
4. ส่วนของเฟรมที่มีน้ำหนักเบาและสามารถนำแบตเตอรี่เข้ามาประกอบได้
หากใครได้ลองไปดูรถมอเตอร์ไซค์ของ OLA จะเห็นได้ว่าการออกแบบจะเหมือนกับรถเวสป้าที่มี
ความเรโทรฟิวเจอริ ความเป็นมินิมอล ความโมเดิร์น บวกกับความคลาสสิค เป็นทรงที่ไม่เก่าและใหม่เกินไป
ส่งผลให้ภาพรวมมีความสวยและดูล้ำสมัยมาก ๆ
ในส่วนของหน้าจอสามารถเชื่อมต่อกับมือถือได้เหมือนกับ Tesla ที่เพียงเดินเข้าไปใกล้ ๆ จะสามารถปลดล็อกได้ โดยไม่จำเป็นจะต้องใช้กุญแจ เพียงแค่กดรหัสที่หน้าจอมือถือที่เปรียบเสมือนกับกุญแจอยู่แล้ว
รวมทั้งสามารถดูแผนที่และจุดชาร์จจากบนมือถือ เพราะว่าตัวรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าสามารถเชื่อมต่อไปที่
จุดชาร์จของ OLA ที่ทาง OLA ได้มีการลงทุนจุดชาร์จเป็นของตัวเอง
สเปคและราคาของรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าของ OLA
1. OLA S1 X
ขนาดแบตเตอรี่ : เริ่มต้นที่ 2 kWh
ระยะทางวิ่ง : 90 Km/1 การชาร์จ
มอเตอร์ให้กำลังสูงสุด : Pw 6 kW
ความเร็วสูงสุด : 90 km/h
เวลาในการชาร์จ : 7.4 ชั่วโมง
ราคาเปิดตัว : 38,500 บาท
2. OLA S1 AIR
ขนาดแบตเตอรี่ : 3 kWh
ระยะทางวิ่ง : 100+ Km/1 การชาร์จ
ความเร็วสูงสุด : 90 km/h
ราคาเปิดตัว : 51,200 บาท
3. OLA S1 PRO
ขนาดแบตเตอรี่ : 4 kWh (195)
ระยะทางวิ่ง : 120+ Km/1 การชาร์จ
มอเตอร์ให้กำลังสูงสุด : Pw 11 kW
ความเร็วสูงสุด : 120 km/h
อัตราเร่ง : 0-100 Km ใช้เวลาแค่ 2.6 วินาที
เวลาในการชาร์จ : รับรองการชาร์จแบบ Fast Charge เมื่อชาร์จเป็นเวลาที่ 15 นาที สามารถวิ่งได้ไกลใน
ระยะทาง 50 Km หมายความว่า OLA S1 PRO สามารถรอบรับ DC Fast Charge สูงถึงประมาณ 13 KW
ราคาเปิดตัว : 63,200 บาท
บริษัทสตาร์ทอัพ Ather Energy
จัดอยู่ในอันดับที่ 5 และเป็นบริษัทสตาร์ทอัพที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว เริ่มแรกจะเป็นบริษัทที่ทำเรื่องของ
การวางโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าทั่วประเทศภายใต้ชื่อ Ather Grid หลังจากนั้นจึงหันมาทำ
รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่สามารถใช้จุดชาร์จของ Ather Grid ได้ทั้งหมด
บริษัททำรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเริ่มตั้งแต่ปี 2013 ซึ่งผลิตจากโรงงานที่เมืองไวท์ฟิลด์ เมืองบังกาลอร์ และ
เมืองโฮซูร์ รัฐทมิฬนาฑู รถมอเตอร์ไซค์ที่ทำออกมาจะเป็นรุ่น Ather 450 ซึ่งมี 3 รุ่นย่อย คือ Ather 450S ,
Ather 450X และ Ather 450X Pro นอกจากนี้เทคโนโลยีของ Ather มีความสนใจ เพราะมีแพลตฟอร์มเป็นของ
ตัวเอง
แพลตฟอร์ม Ather มีส่วนประกอบที่สำคัญทั้งหมด 4 อย่าง
1. แบตเตอรี่
แบตเตอรี่ของ Ather จะเป็นแบตเตอรี่แพ็คที่นำแบตเตอรี่ชนิดทรงกระบอก (Cylindrical Battery)
มารวมกัน โดยขนาดจะเริ่มตั้งแต่ 2.7 , 2.9 จนถึง 3.7 kWh มีลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยมและระบายความร้อนด้วยอากาศ ตัวแบตเตอรี่จะนำมาต่อไว้ที่ด้านล่างตรงที่เหยียบ ซึ่งเป็นจุดที่ดีที่สุดในการเลี้ยวเข้าโค้ง นอกจากนี้
ตัวแบตเตอรี่แพ็คสามารถกันน้ำกันฝุ่น ซึ่งมีค่า IP อยู่ที่ 67
2. มอเตอร์
จะใช้เป็นมอเตอร์ Mid Drive ขนาด 6.4 kW ที่ขับเคลื่อนตรงกลางและมีชุดเฟื่องทด ส่งกำลังผ่านสายพานมาที่ล้อหลัง
3. เฟรม
การผลิตรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าจะใช้อลูมิเนียมเฟรมทั้งหมดที่มีการฉีดขึ้นรูปออกมา ซึ่งมีข้อดีที่น้ำหนักเบาและ
มีความแข็งแรง
4. ชุด Infotainment
ซึ่งชุด Infotainment ของ Ather จะเป็นระบบที่ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้าทั้งหมด ซึ่งหน้าจอมีระบบนำทาง สามารถเชื่อมต่อไปยังตำแหน่งจุดชาร์จของ Ather Grid เมื่อนำรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ามาชาร์จที่เครื่องชาร์จ
ระบบ Ather Grid เพียงใช้เวลา 10 นาที สามารถวิ่งได้ในระยะทาง 15 Km
สเปคและราคาของรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าของ Ather
1. Ather 450S
ขนาดแบตเตอรี่ : 2.7 kWh
ระยะทางวิ่ง : 90+ Km/1 การชาร์จ
มอเตอร์ให้กำลังสูงสุด : Pw 6.4 kW
ราคาเปิดตัว : 55,500 บาท
2. Ather 450X
ขนาดแบตเตอรี่ : 2.9 kWh
ระยะทางวิ่ง : 110+ Km/1 การชาร์จ
มอเตอร์ให้กำลังสูงสุด : Pw 6.4 kW
ความเร็วสูงสุด : 120 km/h
การชาร์จ : 0 – 80 ใช้เวลาในการชาร์จอยู่ที่ 6.36 ชั่วโมง
ราคาเปิดตัว : 59,000 บาท
3. Ather 450X PRO
ขนาดแบตเตอรี่ : 3.7 kWh
ระยะทางวิ่ง : 120+ Km/1 การชาร์จ
มอเตอร์ให้กำลังสูงสุด : Pw 6.4 kW
การชาร์จ : 0 – 80 ใช้เวลาในการชาร์จอยู่ที่ 4.30 ชั่วโมง
อัตราเร่ง : 0-100 Km ใช้เวลาแค่ 3.3 วินาที
ราคาเปิดตัว : 61,200 บาท
สรุป จากกระแสของตลาดรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าของประเทศอินเดียที่กำลังมาแรง จากพฤติกรรมของ
คนอินเดียส่วนใหญ่ที่เลือกซื้อรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าตามกำลังซื้อและความเหมาะสมในการเดินทางสัญจรบนท้องถนนประกอบกับภาครัฐมีการแบนเรื่องของรถที่ใช้น้ำมัน จึงมีการผลักดันส่งเสริมเรื่องของรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า
ส่งผลให้ตลาดรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ามีการแข่งขันเพิ่มสูงขึ้น จะเห็นได้จากการเกิดแบรนด์ค่ายรถใหม่ ๆ
ซึ่งรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าของประเทศอินเดียมีสมรรถนะและเทคโนโลยีที่ดีมากกว่ารถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าของประเทศจีน และเมื่อพูดถึง Smart Motorcycle ย่อมจะนึกถึงประเทศอินเดีย เพราะนอกเหนือจากการขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาดที่เป็นพลังไฟฟ้า ยังสามารถเชื่อมต่อกับมือถือ การหาจุดชาร์จ การเปิดเนวิเกชั่น และการลิงก์กับระบบ IoT เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ดีอย่างมากสำหรับรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าสัญชาติอินเดีย
คุณสามารถดูรายละเอียดเรื่องนี้ได้จากคลิปด้านล่าง และถ้าหากคุณชอบคลิปนี้ขอฝาก กด LIKE กด SHARE กด SUBSCRIBE ที่ช่องของพวกเราด้วยนะครับ