อินเดียปัดทิ้งข้อเสนอ 3 หมื่นล้านไม่ใยดี!! ชัดเจนไม่เอา EV จีน ได้ไม่คุ้มเสีย เร่งดันฐานผลิต Tesla

          ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นค่ายใหญ่อันดับที่ 2 ของโลก คือ BYD (Build Your Dream) ที่มีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามี Segment หลายประเภทและรถยนต์ไฟฟ้าหลายรุ่น อย่างในประเทศไทยมีรุ่น BYD ATTO 3 และ BYD Dolphin
ที่เพิ่งมีการเปิดตัวและคนให้ความสนใจ

          ทาง BYD มีแผนขยายตั้งโรงงานรถยนต์ไฟฟ้าที่ประเทศอินเดีย แต่เมื่อประมาณต้นเดือนกรกฎาคม 2023
ทางประเทศอินเดียปฏิเสธข้อเสนอจาก BYD ไม่ให้เข้ามาลงทุนในประเทศ ถึงแม้ว่าจะมีการเสนอการลงทุนตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ เป็นเงินมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ หรือตีเป็นเงินไทยประมาณอยู่ที่ 30,000 ล้านบาท

         ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีนจะเข้ามาทำการตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ประเทศอินเดียที่ยังใหม่ในเรื่องนี้และ
มีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้น จากประชากรที่มีจำนวนมากในประเทศอินเดีย แต่ได้ทำการปฏิเสธค่ายรถจากประเทศจีน

         ซึ่งทาง BYD บอกว่ามีการตกลงกับบริษัทที่อยู่ในท้องถิ่น คือ Megha Engineering & Infrastructures Ltd.

         ว่าถ้ามีการร่วมมือผลิตรถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ ทางบริษัทท้องถิ่นจะได้เรียนรู้ Know-How ในการผลิต
รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งในปัจจุบันทางประเทศอินเดียมุ่งเน้นในการพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ
โดยมีการตั้งเป้าหมายเมื่อมีการตั้งโรงงานจะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจำนวน 10,000 – 15,000 คันต่อปีทุกรุ่น
แต่ทางประเทศอินเดียยืนยันปฏิเสธข้อเสนอ

         ซึ่งในรายงานทางกระทรวงส่งเสริมการลงทุนและการค้าภายในประเทศของอินเดียได้มีการปรึกษากับ
ทางหน่วยงานอื่น ๆ ของภาครัฐ จากที่ทาง BYD ได้ยื่นข้อเสนอมา มีเหตุผลที่ทำการปฏิเสธ ดังต่อไปนี้

1. เรื่องของความมั่นคงระหว่างประเทศ

        เนื่องจากว่าทางประเทศอินเดียมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงระหว่างการลงทุนของบริษัทจีน
ในประเทศอินเดีย โดยมีเหตุผลที่สำคัญจากเจ้าหน้าที่วงในได้เปิดเผยว่ามีกฎระเบียบบางอย่างที่ไม่สามารถ
เอื้ออำนวยให้อนุมัติการลงทุนดังกล่าว

         อย่างที่รู้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าไม่ใช่รถยนต์ที่ใช้มอเตอร์และแบตเตอรี่เพียงเท่านั้น จะมีในส่วนเรื่องของ Data
การเก็บข้อมูล หากเทียบทาง Tesla ที่ไม่สามารถเก็บข้อมูลในบางพื้นที่ ซึ่งในเรื่องของข้อมูลอาจจะเกี่ยวกับ
เรื่องความมั่นคงของชาติ จึงเป็นสิ่งที่ประเทศอินเดียให้ความกังวล

         และในช่วงก่อนหน้าทางค่ายรถ GWM (Great Wall Motor) มีแผนที่พยายามเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานผลิต
รถยนต์ไฟฟ้าที่ประเทศอินเดียเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว ต่างไม่ได้รับการตอบรับเช่นเดียวกัน

          ส่งผลให้สถานการณ์การปฏิเสธในเรื่องของค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีน อย่าง BYD และ GWM
สร้างความตึงเครียดระหว่างรัฐบาลอินเดียและรัฐบาลจีน เนื่องจากว่าค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนส่วนใหญ่
ทางรัฐบาลมีการถือหุ้น โดยจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสัดส่วนของแต่ละค่าย หรือแต่ละแบรนด์

          ดังนั้นทาง BYD มองว่าหากไม่มีการลงทุนในประเทศอินเดีย แต่จะดำเนินการรุกไปตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ประเทศอินเดียอยู่ดี โดยการประกอบ SKD บางรายการ (รถที่มีการประกอบชิ้นส่วนมาส่วนหนึ่งแล้วจากต่างประเทศ แต่นำมาประกอบเต็มคันในประเทศ) อย่างในรุ่น BYD ATTO 3 และ BYD E6 ก่อนที่จะจำหน่าย BTD SEAL
ที่จะเปิดตัวในปลายปี 2023

         นอกเหนือจากปัญหาความมั่นคงที่ทางรัฐบาลอินเดียมีต่อค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีน ยังมีประเด็นที่ประเทศจีนมีข้อพิพาทกับประเทศอินเดีย จากการที่ประเทศอยู่ติดกัน

2. Dhola – Sadiya bridge

           ทางประเทศอินเดียมีการสร้างถนนที่ติดอยู่กับเส้นขอบชายแดน เมื่อมีถนนเข้าไปและมีความเจริญตามมา
ย่อมมีผู้คนเข้าไปตั้งอยู่อาศัยในบริเวณทั้ง 2 ฝั่งถนน ซึ่งอีกด้านของฝั่งถนนจะอยู่ติดกับประเทศจีน ทำให้ประเทศจีนมีความกังวลว่าจะมีการสร้างสิ่งปลูกสร้างเข้าไปรุกล้ำในประเทศจีน จนเกิดปัญหาทางการทหาร ส่งผลให้ข้อตกลง
ข้อพิพาทในเรื่องดังกล่าวยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ทำให้ประเทศจีนและประเทศอินเดียมีความตึงเครียดต่อกัน

 

         เมื่อประเทศอินเดียปฏิเสธค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน และต้องการให้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศอินเดียมีการเติบโต จึงหันไปติดต่อกับทาง Tesla ที่ทางประเทศอินเดียมีความต้องการอยากให้ทาง Tesla มาลงทุนในประเทศอย่างมาก โดยมีการพบปะกับนายอีลอน มัสก์ หลายครั้ง

         และทางนายอีลอน มัสก์ มีความต้องการตั้งโรงงาน Tesla ในประเทศอินเดีย ซึ่งในช่วง 2 -3 ปีก่อนหน้าต้อง
มีการพับแผนการลงทุนไป เพราะว่าทางนายอีลอน มัสก์ จะนำรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีนเข้ามาในช่วงลองตลาดก่อนที่จะทำการผลิตจริง แต่ทางประเทศอินเดียบอกว่าถ้า Tesla มีการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้ามาจะต้องจ่าย
ภาษีตามปกติ ถึงแม้ว่านายอีลอน มัสก์ จะมีการขอโควตาพิเศษเพื่อให้ลองในตลาดก่อน ทำให้โครงการที่จะเริ่ม
ทำตลาดในประเทศอินเดียต้องหยุดลง

         แต่ปัจจุบันมีเหตุผลใหม่ที่ทางนายอีลอน มัสก์ จะต้องมาตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ประเทศอินเดีย 

จากปัญหาเรื่องของการกีดกันระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศจีน ซึ่งทาง Tesla มีการตั้งโรงงานผลิต

รถยนต์ไฟฟ้า Gigafactory ที่เซี่ยงไฮ้ ในประเทศจีน หากทำการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ประเทศจีนและส่งออกไป
ประเทศสหรัฐอเมริกาจะทำได้ยาก และยังหมายรวมถึงประเทศที่เป็นคู่ค้าของเครือประเทศสหรัฐอเมริกาทั้งหมด

          ถ้าการตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ประเทศอินเดีย ซึ่งค่อนข้างไปทางฝั่งประเทศสหรัฐอเมริกา กลายเป็นว่าการตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ประเทศอินเดียจะสร้างผลประโยชน์ที่ดีกว่า โดยเฉพาะการ Deal ระหว่างพันธมิตรทางฝั่งประเทศสหรัฐอเมริกา

         ดังนั้นทาง Tesla มีแผนคุยกับทาง นเรนทรา โมดี ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศอินเดีย

         ว่าจะมีการลงทุนทำโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า โซลาร์เซลล์ และแบตเตอรี่เก็บกักพลังงาน หรือ
TESLA POWER WALL

          ซึ่งทางนายกรัฐมนตรีของประเทศอินเดียคาดหวังว่าการมาลงทุนของ Tesla จะทำให้ประเทศอินเดียได้
องค์ความรู้ จากการที่ประเทศอินเดียมีความเชี่ยวชาญทางด้านของ IT และ ซอฟต์แวร์ โดยบุคลากรทางของ Tesla ในเรื่องของทีม AI มาจากประเทศอินเดีย
          ผลดีจากการมาตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla จะทำให้ประเทศอินเดียได้เรียนรู้ Know-How
ในเรื่องของ Starlink, SpaceX, AI และRobot ทั้งหลายที่ทาง Tesla จะทำทั้งหมด เพราะทาง Tesla เป็น
Open Source อยู่แล้ว

         เพราะฉะนั้นทางประเทศอินเดียและทาง Tesla ต่างได้รับประโยชน์ ที่ทาง Tesla สามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าไปขายที่ทางฝั่งอเมริกา จึงมีโอกาสที่ทาง Tesla จะกลับมาตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ประเทศอินเดียอีกครั้งหนึ่ง

สาเหตุที่ค่ายรถอยากเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานอุตสาหกรรมการผลิต
รถยนต์ไฟฟ้าที่ประเทศอินเดีย

           เนื่องจากว่าประเทศอินเดียมีข้อดีหลายอย่างและถูกจับตาว่าในยุคต่อไปประเทศอินเดียจะเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น อาจเป็นประเทศอันดับต้น ๆ ของโลก โดยมีปัจจัยดังต่อไปนี้

1. ค่าแรง

           ประเทศอินเดียมีค่าแรงขั้นต่ำที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ของโลก จากที่ชาวอินเดียมีความสามารถและค่าแรงที่ถูก โดยหากเทียบเงินไทยจะอยู่ที่ประมาณ 8,000 บาทต่อเดือน ขณะที่ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 14 ของโลก เงินเดือน
ค่าแรงขั้นต่ำจะอยู่ที่ประมาณ 12,000 บาทต่อเดือน โดยเป็นค่าเฉลี่ย

2. ทรัพยากรเพียงพอต่อการผลิต

          ทรัพยากรที่ใช้ในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า อย่างแร่ลิเธียม ที่เป็นแร่หายากและเป็นองค์ประกอบสำคัญ
ในการผลิตแบตเตอรี่ โดยในช่วงประมาณต้นเดือน กุมภาพันธ์ ที่ใต้เชิงเขาหิมาลัยมีการค้นพบแหล่งแร่ลิเธียม
จำนวนประมาณ 5.9 ล้านเมตริกตัน เป็นปริมาณที่ใหญ่มากอันดับที่ 6 ของโลก จะเป็นทรัพยากรที่ใช้ในการผลิต
รถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศที่สามารถตอบสนองทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งจำนวนที่กล่าวมาไม่แพ้
ประเทศออสเตรเลียและชิลี

3. ประเทศอินเดียลดภาษีศุลกากรการนำเข้า

          เพื่อที่จะส่งเสริมการประกอบรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ทางรัฐบาลอินเดียได้มีการลดภาษีส่งเสริมเรื่องของ
การนำเข้าชิ้นส่วนสินค้าประกอบยานพาหนะไฟฟ้าจาก 10% เหลือ 15% จากเดิมมีการรักษาที่ 15 -30%
เพื่อป้องกันให้อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ภายในประเทศสามารถอยู่ได้ จึงมีการลดภาษีลงมา

          รวมทั้งมีการกำหนดภาษีนำเข้าแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าอยู่ที่ร้อยละ 5 เท่านั้น

สาเหตุที่ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าอยากเข้ามาทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า
ในประเทศอินเดีย

         ตลาดรถยนต์ของประเทศอินเดียมีความนิยมใช้รถยนต์ขนาดเล็ก ไม่ว่าจะเป็นรถโดยสารส่วนบุคคล หรือ
รถยนต์เชิงพาณิชย์ ที่มียอดเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี ซึ่งรถยนต์ขนาดเล็กมีการจดทะเบียนทั้งหมด 2 ล้านคัน
ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2022 – กลางปี 2023 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้าในช่วงเวลาเดียวกันจะอยู่ที่ 1.8 ล้านคัน
จากจำนวน 2 ล้านคัน ถ้าเทียบสัดส่วนที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าจะอยู่ที่จำนวน 48,000 คัน คิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ 2.4%
ของทั้งหมด จะเห็นได้ว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามีขนาดเล็กและมีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้น

ยี่ห้อรถยนต์ไฟฟ้ามียอดยขายที่ดีในประเทศอินเดีย

อันดับที่ 1 TATA ถือสัดส่วนในตลาดอยู่ที่ 72%

         TATA เป็นแบรนด์ประจำชาติของประเทศอินเดีย ซึ่ง TATA ที่เป็นรถยนต์เคยมาทำตลาดที่ประเทศไทย

อย่างรถกระบะในเชิงพาณิชย์ที่เป็นก๊าซ CNG และน้ำมัน เครื่องยนต์ดีเซล และมีแนวโน้มว่า TATA จะกลับมา

ทำตลาดที่ประเทศไทยอีกครั้ง

         ทาง TATA มีการทำรถยนต์ไฟฟ้าออกมาและสามารถขายได้จำนวนมาก จากสัดส่วน 72% ของทั้งหมด 

กับรุ่น TATA TIAGO

         มีราคาอยู่ที่ประมาณ 400,000 – 540,000 บาท ต้องยอมรับว่ารถยนต์ไฟฟ้าที่ขายอยู่ในประเทศอินเดีย
ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้สูง เพราะรถยนต์ไฟฟ้าที่มีเทคโนโลยีและผลิตได้ในปริมาณน้อย 

ทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีราคาแพงกว่ารถยนต์น้ำมัน

อันดับที่ 2 MG ถือสัดส่วนในตลาดอยู่ที่ 10%

อันดับที่ 3 MAHINDRA เป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าของประเทศอินเดีย ถือสัดส่วนในตลาดอยู่ที่ 9%

อันดับที่ 4 BYD ที่เพิ่มทำการส่งมอบรุ่น BYD ATTO 3 เข้าไปในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ถือสัดส่วน
ในตลาดอยู่ที่ 2.9%

         ซึ่งทาง BYD มีแผนจะขยายขายให้ได้ถึง 30% ภายในปี 2030 โดยคิดที่จะตั้งโรงงานรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อลดต้นทุนการผลิต เพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้าหลาย ๆ รุ่นออกมาทำตลาด แต่กลายเป็นว่าเรื่องของความขัดแย้งและเรื่องของ
ข้อตกลงที่เสนอได้ถูกปฏิเสธ ดังนั้นอาจจะดำเนินการโดยการนำชิ้นส่วนมาประกอบทำตลาดในประเทศอินเดียไปก่อน

         สรุป การที่อินเดียไม่เอารถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีน เป็นที่รู้กันว่ารถยนต์ไฟฟ้าของประเทศจีนจัดอยู่ใน

อันดับต้น ๆ ผู้นำรถยนต์ไฟฟ้าของโลก เนื่องจากว่าทางประเทศอินเดียมีความกังวลในหลายเรื่อง
         อย่างแรก คือ ความกังวลในเรื่องของ Data และความมั่นคงประเทศ เพราะรถยนต์ไฟฟ้าไม่ได้ใช้

พลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว จะมีส่วนของการเก็บข้อมูล ซึ่งถือว่าเป็น IoT ชิ้นหนึ่ง หรือสมาร์ทโฟนที่วิ่งได้
         อย่างที่ 2 คือ เรื่องของแร่ลิเธียม ที่ประเทศอินเดียมีแร่ลิเธียมเป็นของตัวเองและการที่ค่ายรถยนต์ไฟฟ้ามาตั้งโรงงานย่อมต้องการใช้ทรัพยากรอย่างแร่ที่สำคัญอย่างลิเธียมในการผลิตแบตเตอรี่
         อย่างที่ 3 คือ เรื่องของอุตสาหกรรมการผลิตที่รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศประเทศอินเดีย จะเห็นได้ว่าปัจจุบัน

สัดส่วนเจ้าใหญ่ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นแบรนด์ TATA ที่ทางประเทศอินเดียมีความต้องการปกป้องอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศ อย่างแบรนด์ TATA เอาไว้ โดยไม่ต้องการให้ประเทศจีนเข้ามาแย่งสัดส่วน

ในตลาด
         และนี้อาจจะเป็นเหตุผลที่แตกต่างกับทางประเทศไทย เพราะที่ประเทศไทยไม่มีแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าประจำชาติ โดยยังไม่มีในส่วนของรถยนต์ส่วนบุคคล จะแต่มีในรถยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ รวมทั้งประเทศไทยได้รับสิทธิประโยชน์เรื่องของภาษี FTA และ AFTA ระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีนในการนำเข้า 0% และมีเงินส่งเสริม 

ทำให้ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีนเข้ามาลงทุนสร้างโรงงาน กลายเป็นว่าประเทศไทยจะเน้นเป็นฐานการผลิตมากกว่า ส่วนประเทศอินเดียจะเน้นเรื่องของการดันแบรนด์ TATA ให้เป็นเจ้าตลาดของรถยนต์ไฟฟ้า

         เพื่อน ๆ สามารถดูข่าวได้จากคลิปด้านล่างนี้ และถ้าหากคุณชอบคลิปนี้ขอฝาก กดLIKE กด SHARE 

กด SUBSCRIBE ที่ช่องของพวกเราด้วยนะครับ

Share

FOLLOW US


WELLDONE GUARANTEE

452 Pecthkraseam Rd. Laksong Bangkhae, Bangkok 10160
Email : welldone.guarantee@gmail.com Tel. 0889415944

Copyright © 2022 EV GUARANTEE All rights reserved.