ในปัจจุบันตลาดรถยนต์โดยเฉพาะเทคโนโลยีพลังงานสะอาด คือ รถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV หรือที่นิยมเรียกสั้น ๆ ว่า EV มีการแข่งขันและกำเนิดค่ายใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ค่ายดั้งเดิมจะต้องมีการปรับตัว ให้ทันต่อการเข้ามาชิงส่วนแบ่งทางการตลาดของค่ายรถยนต์ไฟฟ้าค่ายใหม่ ๆ
ล่าสุดมีข่าวใหญ่ที่สะเทือนวงการรถยนต์ คือ เมื่อวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา ทางนายอากิโอะ โตโยดะ ผู้นำสูงสุดของ Toyota ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง โดยจะมีผลในวันที่ 1 เม.ย. 2023
สร้างความประหลาดใจให้กับผู้คน เพราะว่าเมื่อปี 2022 ทางนายอากิโอะ ยังมีการประกาศจะทำรถยนต์เพิ่ม 30 รุ่น ภายใน 10 ปี และการพัฒนาเทคโนโลยี Hydrogen Combustion
ส่วนผู้ที่มาดำรงตำแหน่งแทน คือ นายโคจิ ซาโตะ ผู้ซึ่งเป็นอดีตประธาน Lexus และ ประธาน GAZOO Racing
เหตุผลที่มีการเปลี่ยนแปลงผู้นำ ในรอบ 14 ปี
1. Toyota ประสบปัญหาหลายอย่าง อาทิ ผลกระทบจากสถานการณ์โรค COVID-19 ที่ส่งผลให้ยอดขายลด ต่ำลง ประกอบกับมีคู่แข่งค่ายใหม่ ๆ ที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า ที่ทาง Toyota ไม่เชื่อว่าเทรนรถยนต์ไฟฟ้าจะมาอย่าง รวดเร็ว ยังคงมีความคิดว่าจะต้องเริ่มที่รถยนต์ไฮบริด (HEV) และรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ก่อนถึงจะมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้า เพราะมีความกังวลในเรื่องพนักงานที่อาจจะตกงานร่วม 500,000 คน
จึงไม่เห็นด้วยที่จะก้าวเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบเต็มตัว ส่งผลให้ทาง Toyota มีการพัฒนาที่ล่าช้า ไม่ทันต่อ การปรับตัวตามยุค จะเห็นได้จากทาง Toyota ยังคงมีการพัฒนารถยนต์ไฮบริด มีการเปิดตัวรถ Toyota Prius (5th Gen) ที่มีทั้งรถยนต์ไฮบริด (HEV) และรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) มีเสียงตอบรับค่อนข้างดี
ส่วนรถยนต์ไฟฟ้าก็มีการเปิดตัว รถ Toyota bZ4X ที่เป็นรถ Corssover SUV คาดหวังว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า commercialรุ่นแรกที่เปิดตัวขายทั่วโลก แต่พอเปิดตัวก็เกิดปัญหากับตัวรถ จนต้องมีการเรียกกลับ และเมื่อมี การแก้ไขปัญหานำมาขายจริง ก็ได้รับกระแสตอบรับที่ไม่ค่อยดี เมื่อเทียบกับทางค่าย Tesla และ BYD มีสัดส่วน การครองตลาดเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของ Toyota มีจำนวนน้อยมาก
2. Toyota รั้งท้ายเทคโนโลยีปัญหาการปล่อยมลพิษ
ถูกมองว่าไม่ค่อยมีการพัฒนาเรื่องของเทคโนโลยีพลังงานสะอาดอย่างรถยนต์ไฟฟ้าเท่าที่ควร ทำให้ มูลค่าทางการตลาดอย่างค่ายรถใหม่ Tesla สูงกว่า รวมทั้งยังมีค่าย BYD ที่มีความโดดเด่นในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าอย่างรวดเร็ว ยิ่งทำให้ Toyota ถูกทิ้งให้อยู่ข้างหลัง
3. ในมุมของการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งผู้ผลิตรถยนต์จะต้องตระหนักแล้วว่ารถยนต์ต้องเป็นมากกว่ารถ ที่ต้องมีฟังค์ชั่นนอกเหนือจากความเร็วที่ดี มีความทนทาน และความปลอดภัย เพื่อตอบสนองต่อความต้องการมิติด้านอื่น ๆ อาทิ เทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อมที่ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) มีการเชื่อมต่อกับ IOT, บ้าน และเพื่อนร่วมทาง การจราจร มีการเก็บข้อมูล Big Data รวมทั้งมีระบบ AI ประมวลผล อาทิ ระบบ Self-Driving หรือระบบที่ช่วยขับ ระบบ Infotainment ที่สร้างความบันเทิง อาทิ ดูหนังในรถ
พอค่ายรถดั้งเดิมอย่าง Toyota ไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้ จึงถูกค่ายใหม่ ๆ ที่มีความพร้อม เข้ามาแทรกแซงในตลาดอย่าง Tesla และ BYD แม้กระทั่ง Honda มีการร่วมมือกับ Sony ในการร่วมทุนสร้าง รถยนต์ที่ตอบโจทย์ต่อผู้ใช้งานรถยนต์สมัยใหม่มากขึ้น
ดังนั้น การลาออกของนายอากิโอะ โตโยดะ เป็นการส่งไม้ต่อให้กับผู้นำรุ่นใหม่ที่จะนำพา Toyota เข้าสู่ยุค EV อย่างเต็มตัว
ทางนายอากิโอะ โตโยดะ ซึ่งเป็นหลานของผู้ก่อตั้ง Toyota ยอมรับว่ามีความคิดแบบสมัยก่อนที่หลงใหลการขับขี่ที่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ แรงสั่นสะเทือนจากการหักเลี้ยว ซึ่งจะขัดแย้งต่อการเข้าสู่ยุคใหม่ที่เน้นพลังงานสะอาดรถยนต์ไฟฟ้าแบบ 100%
และจากความชื่นชอบในความเร็วของรถ จึงพยายามผลักดันเทคโนโลยีขุมพลังไฮบริดที่กำลังเริ่มต้นพัฒนา มีแนวคิดว่าถ้าจะต้องพัฒนารถยนต์ไฮบริดที่มีสมรรถนะที่ดี จะให้การแข่งรถมอเตอร์สปอร์ตเป็นตัวพิสูจน์ประสิทธิภาพของเทคโนโลยีค่ายรถนั้น ๆ และรถทุกรุ่นที่เป็นไฮบริดจะต้องลงสนามแข่ง อย่าง 24 Hours of Le Mans และ World Rally Championship นายอากิโอะจะต้องเป็นผู้ขับขี่ด้วยตัวเองด้วย ซึ่งต้องบอกเลยว่าเทคโนโลยี รถยนต์ไฮบริดของ Toyota ประสบความสำเร็จอย่างมาก ในรถ Toyota Prius และ Toyota Camry
ในช่วงยุคของนายอากิโอะ Toyota ครองส่วนแบ่งในตลาดของรถยนต์ไฮบริดมากถึง 43% และมีการต่อยอดเทคโนโลยีเป็นไฮโดรเจน Toyota Mirai ที่มีรุ่นใหม่ คือ Gen2
และจากที่นายอากิโอะมีความชื่นชอบเครื่องยนต์สันดาปภายใน มีการเปลี่ยนพัฒนาจาก ไฮโดรเจนของ Mirei มาเป็นไฮโดรเจนแบบสันดาปภายใน หรือ Hydrogen Combustion เช่น Toyota Corolla Cross XSE และ Yaris Gazoo
นอกจากนี้หลายคนมีคิดว่านายอากิโอะน่าจะเปิดรับความคิดใหม่ ๆ จากที่ได้เคยพบเจอกับนายอีลอน มัสก์ ช่วงที่กำลังสร้างบริษัท Tesla ในช่วงปี 2003 – 2004 และโรงงานของ Tesla ที่ตั้งอยู่ที่ ฟรีมอนต์ แคลิฟอร์เนีย เคยเป็นโรงงานของ Toyota
Toyota มองว่ายอดขายที่อเมริกาเหนือมีจำนวนไม่มาก จึงตัดสินใจขายโรงงานต่อให้กับนายอีลอน มัสก์ ซึ่งมูลค่าของโรงงานเท่ากับ 50 ล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงนั้นทางนายอีลอน มัสก์ ขอเสนอให้ถือหุ้นที่มีมูลค่าเท่ากันแทนเท่ากับ 3.17% ถ้าหากทาง Toyota ยังคงถือหุ้นอยู่จะมีมูลค่าสูงถึง 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ทาง Toyota และ Tesla เคยพัฒนารถ Toyota RAV4 EV ร่วมกัน ก่อนที่จะถอนตัวออกไป
สำหรับคนที่จะมารับช่วงต่อ คือ นายโคจิ ซาโตะ ที่ทำงานกับทาง Toyota ตั้งแต่ปี 1992 จนในปี 2020 เป็นประธานของบริษัท เล็กซัส อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด และช่วงต่อมาเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายสร้างแบรนด์ของ Toyota ในช่วงระหว่างที่กำลังดำรงตำแหน่งประธาน Lexus และ GAZOO Racing ดูแลในเรื่องการนำรถ Toyota ไปลงสนามแข่ง ซึ่งทั้งนายอากิโอะ และ นายโคจิ ซาโตะ มีความสนิทสนมและไปทดสอบรถด้วยกัน และยังชอบเรียนรู้เทคโนโลยีสมัยใหม่ นายอากิโอะจึงมองว่าอีกฝ่ายมีความเหมาะสมที่จะนำพาให้ Toyota ไปสู่อนาคตได้
ส่วนรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกของแบรนด์ Lexus คือ Lexus UX 300e ที่สามารถวิ่งได้มากกว่า 300 km แต่ยังไม่ใช้แพลตฟอร์มไฟฟ้าแบบ 100%
ถ้าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบ 100% คือ Lexus RZ 450e ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม TNGA หรือ Toyota New Global Architecture มาทำรถยนต์ไฟฟ้าแบบ 100% ที่มีแนวโน้มจะประสบความสำเร็จและสามารถไปต่อได้
เพื่อน ๆ สามารถดูข่าวได้จากคลิปด้านล่างนี้ และถ้าชอบคลิปนี้ขอฝากกดไลค์ กดแชร์ กด Subscribe หรือสามารถสนับสนุนเป็น YouTube Member ได้นะครับ
