ช่วงต้นปี 2566 ที่ผ่านมามีข่าวใหญ่ในวงการอุตสาหกรรมตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่สะเทือนไปทั้ง จาก Tesla ประกาศหั่นราคาลงครั้งใหญ่ถึง 20%
Tesla ถือว่าเป็นค่ายรถยนต์ไฟฟ้าเบอร์ 1 ของโลกที่ทำราคารถไฟฟ้าให้คนเข้าถึงได้เป็นครั้งแรกกับรถรุ่น Model 3 และ Model Y ที่เป็น SUV ทำให้หลายคนอยากจะหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า
และจากการประกาศปรับลดราคารถยนต์ไฟฟ้า ทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าในประเทศใดก็ตาม ที่ Tesla เข้ามาในทำตลาด อาทิ ประเทศไทย จีน ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น จะเป็นการเซ็ตราคามาตรฐานรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศนั้นไป ทำให้คู่แข่งทั้งรถน้ำมันและรถไฟฟ้าในประเทศนั้นจะต้องปรับราคาเพื่อให้สามารถแข่งขันกับทาง Tesla ได้
ในประเทศไทย Tesla Model 3 ที่เปิดตลาดในช่วงเดือนธันวาคม 2565 ที่ผ่านมามีราคาอยู่ที่ 1.7 ล้านบาท สามารถจูงใจให้คนที่เดิมมีความต้องการซื้อรถยุโรปมือสองที่มีราคาประมาณ 2 ล้านบาท หรือรถ Honda Civic เปลี่ยนใจไปซื้อ Tesla Model 3 แทน เพราะมีส่วนต่างแค่ประมาณ 2 แสนบาทเท่านั้น ประกอบกับชื่อเสียงของ ทาง Tesla มีความน่าเชื่อถือต่อคนที่ต้องการรถยนต์ไฟฟ้า
วันนี้เราก็อยากจะพูดถึงว่าทำไม Tesla ถึงกล้าปรับราคารถยนต์ไฟฟ้าลงถึง 20 % ซึ่งสวนทางกับค่ายอื่น ๆ เช่น ทางค่ายจีนที่ทำตลาดในประเทศไทยมีการขอปรับราคาขึ้น เพราะว่าแร่ลิเธียมมีราคาที่สูงขึ้นและชิปเซ็ต ขาดแคลน
เราจะมาร่วมพูดคุยกับคุณ Chai ซึ่งเป็นนักลงทุน และทำงานสายโปรแกรมเมอร์ และเป็นผู้ใช้รถ Tesla ในฝั่งอเมริกา
ราคารถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla เช่น รถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model 3 ที่เปิดตัวในราคาเริ่มต้น 1.7 ล้านบาท
เมื่อเทียบกับทางราคารถยนต์ไฟฟ้า Tesla ของฝั่งประเทศอเมริกาจะสูงกว่าเล็กน้อย ซึ่งถือว่ามีราคาที่ใกล้เคียงกัน
สาเหตุของการปรับลดราคารถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla
อย่างแรกเป้าหมายของ Tesla คือ ต้องการให้คนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) เพิ่มมากขึ้น และในช่วงที่ผ่านมาทาง Tesla มีการปรับราคารถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งราคารถยนต์ไฟฟ้าที่ปรับลดลง 20 % จะเป็นราคาที่เทียบเท่ากับเมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา ที่มีการปรับราคาสูงขึ้นมาแล้ว
ประกอบกับทาง Tesla มีความกังวลเกี่ยวกับการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ การขึ้นอัตราดอกเบี้ย และรถยนต์ไฟฟ้าถูกมองว่าเป็นสินค้าที่ฟุ่มเฟือย โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla ที่มีราคาอยู่ในระดับสูงและมีคนจำนวนน้อยที่สามารถจะเข้าถึงได้ และความต้องการของคนกลุ่มนี้เริ่มลดจำนวนลง
จากรูปด้านบนจะเห็นได้ว่า ยอดจองรถยนต์ไฟฟ้าล่วงหน้าของ Tesla โดยปกติอยู่ที่ประมาณ 4 แสนกว่าคัน และผู้ซื้อต้องใช้เวลาในการรอรถประมาณ 3 – 6 เดือน แต่ในปี 2023 ทางผู้เชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐศาสตร์มองว่าจากวิกฤตทางเศรษฐกิจโลก จะส่งผลให้กำลังซื้อของคนลดต่ำลง ซึ่งกระทบต่อยอดการจองรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesia ที่ลดจำนวนลงจาก 4 แสนกว่าคัน เหลือประมาณ 7 หมื่นกว่าคัน ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2022
ทาง Tesla มองเห็นแล้วว่าถ้ายังคงขายรถยนต์ไฟฟ้าในราคาเดิม จะต้องเกิดปัญหาจากยอดการสั่งซื้อที่ลดลงและมีความเสี่ยงที่รถยนต์ไฟฟ้าจะไม่สามารถขายออกไปได้ รวมทั้งจะต้องรับภาระจากต้นทุนค่าใช้จ่ายในการผลิต
รถยนต์ไฟฟ้า จึงตัดสินใจยอมรับกำไรที่ลดลง โดยการลดราคาลง 10 – 20 % เพื่อเพิ่มยอดขายให้มากขึ้นแทน
ก่อนที่ Tesla จะได้กำไรจากการขายรถยนต์ไฟฟ้า จะมาจากการขายคาร์บอนเครดิตให้กับค่ายรถที่เป็นรถน้ำมัน จากรูปด้นบน จุดคุ้มทุน (Break Even Point) จากการขายรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ในช่วงปีปลาย 2019 – 2020 จากนั้นเริ่มมีกำไรที่มากขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการยอดขายที่เติบโตจำนวนหลักแสนคันและการปรับราคารถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมีการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนการผลิต อาทิ เครื่องจักร Giga Press หรือเครื่องหล่อและปั้มรถยนต์ที่ครบวงจรที่สุดในโลก (Die casting machine) การใช้ Robot เป็นต้น รวมทั้งมีกำไรจากการขาย Software ต่าง ๆ ทำให้สามารถปรับราคารถยนต์ไฟฟ้าลงมาได้
การเปรียบเทียบระหว่างกำไรของรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla กับค่ายรถอื่น ๆ
จากรูป จะเป็นการเปรียบเทียบระหว่าง Tesla กับค่ายรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน จะเห็นได้ว่ากำไรของรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla ต่อคันอยู่ที่ 31% รองลงมาคือ Toyota Volkswagen( VW) General Motors (GM) และ Ford ที่มีแนวโน้มกำไรที่ลดลง จากยอดขายที่เริ่มหดลง
เมื่อเปรียบเทียบกับค่ายรถยนต์ไฟฟ้าอื่น ๆ ยกตัวอย่าง ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศจีนส่วนใหญ่จะมีกำไร ที่น้อยกว่า Tesla อาทิ ค่าย NIO และค่าย BYD ที่กำไรของรถยนต์ไฟฟ้ามาจากการถั่วเฉลี่ยจากรถปลั๊กอินไฮบริด ประกอบกับทางค่ายมีต้นทุนจากการผลิตรถยนต์แพลตฟอร์มต่าง ๆ ทำให้กำไรที่ได้น้อยกว่า
ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกเปรียบเทียบระหว่างปี 2022 กับ 2021
จากรูป อันดับที่ 1 คือ Tesla อันดับที่ 2 คือ BYD สามารถขายรถยนต์ไฟฟ้าเกือบถึง 1 ล้านคัน และในปี 2022 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นผ่าน 10% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด หมายความว่าขายรถยนต์ 10 คันจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 1 คัน
การปรับลดราคาของรถยนต์ไฟฟ้า Tesla ทางฝั่งประเทศอเมริกา
จากรูป ราคาลดลงโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10 – 20 % โดยรุ่น Model 3 Standard Range ที่มีราคาน้อยที่สุดลดลงเล็กน้อยประมาณ 6% ส่วนรุ่น Model Y ลดลงมากที่สุดที่ 20 % และจากปรับราคารถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla ที่ลดลง ทำให้ยอดขายเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน ยกตัวอย่าง ยอดจองรถที่ประเทศจีน 1 อาทิตย์เท่ากับยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla ทั้งเดือน รวมทั้งยังเป็นการเซ็ตราคารถยนต์ไฟฟ้า ทำให้ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าอื่น ๆ ต้องปรับราคา ลดลง เช่น ค่าย XPeng ที่ลดราคารถทุกรุ่น ทั้งที่ปัจจุบันขาดทุนเป็นจำนวนมาก
ราคารถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla ที่ประเทศไทยจะลดลงหรือไม่
เมื่อ Giga Factory ที่เซี่ยงไฮ้ลดราคาลงแล้ว ราคารถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla ที่จำหน่ายที่ประเทศไทยมาจาก โรงงานนั้น จะลดลงตามหรือไม่ ทางคุณ Chai คาดการณ์ว่ามีแนวโน้มที่ราคาจะลดลง แต่ในปัจจุบันยังคงไม่ปรับ ลดราคา เนื่องจากตอนเปิดตัวยอดจองรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla ที่ประเทศไทยวันแรกมีจำนวนที่มากถึง 6,000 คัน แสดงว่ายังมีคนที่สามารถซื้อในราคานี้ได้ ประกอบกับความเคยชินกับราคารถยนต์ไฟฟ้าของ Tasla ที่อยู่ในระดับสูง ทำให้เมื่อมีการปรับราคารถลดลง ยกตัวอย่าง รุ่น Model Y ที่ราคาเริ่มต้นที่ 3 ล้านบาท มีการปรับลดราคาลงเหลือ 2.2 ล้านบาทหรือประมาณ 8 แสนบาท สามารถดึงดูดให้คนต้องการซื้อมากขึ้น
ดังนั้นสำหรับใครที่ได้ทำการจองรถยนต์ไฟฟ้ากับทาง Tesla แล้ว มีความต้องการจะรอให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าลดลง ก็สามารถยกเลิกการจองและต่อคิวใหม่ได้
สำหรับคนที่สนใจดูและอยากลองรถยนต์ไฟฟ้า สามารถไปที่ Tesla Test Drive ซึ่งเป็นศูนย์ทดสอบรถยนต์ไฟฟ้า ตั้งอยู่ที่The Paseo รามคำแหง
หากเพื่อน ๆ สนใจดูเนื้อหาฉบับเต็มสามารดูได้จากคลิปด้านล่างนี้ได้เลย และถ้าชอบคลิปนี้ฝากกดไลค์ กดแชร์ กด Subscribe ให้ด้วยนะคร้าบ