ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยกับการแข่งขันที่ร้อนแรง
ปีนี้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV ในประเทศไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว มีรถจดทะเบียนกว่า 100,000 คัน ครอบคลุมทุกประเภท และมีความสนใจอย่างมากจากผู้บริโภคทั่วประเทศ โดยเฉพาะการที่ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นซึ่งเดิมเป็นเจ้าตลาดรถน้ำมัน ได้ตัดสินใจเข้ามาลุยตลาด EV ถึง 5 ค่ายในปีนี้ นับเป็นสัญญาณชัดเจนของความเปลี่ยนแปลงในตลาดรถ EV ไทย
เราได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์ พี่จิมมี่ ไล Max เพื่อทำความเข้าใจว่าเหตุใดค่ายญี่ปุ่นถึงเพิ่งเข้าตลาดและกลยุทธ์ที่จะใช้แข่งกับ EV จีนในประเทศไทยเป็นอย่างไร
เหตุผลที่ญี่ปุ่นเข้าตลาด EV ช้าและปัญหาที่เจอ
ค่ายญี่ปุ่นถูกกระแทกอย่างหนักเมื่อเห็นการเข้ามาของค่ายจีนโดยตรง ทำให้ต้องทำวิจัยอย่างละเอียดอย่างลึกซึ้ง การทำงานของค่ายญี่ปุ่นปรกติมีระบบขั้นตอนที่ละเอียดมาก จึงไม่สามารถข้ามขั้นตอนใดไปได้ ส่งผลให้การออก EV รุ่นต่างๆ ช้า
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีปัญหาด้านคุณภาพและมาตรฐานที่เกิดขึ้น เช่น กรณีการตรวจสอบใบ Certificate ของรถยนต์ในอดีต และเหตุการณ์ปัญหากับรถ Yaris Ative ทำให้วิศวกรถูกแบ่งกำลังไปตรวจสอบย้อนกลับถึงงานเก่าจนส่งผลกระทบต่อการพัฒนารถ EV ใหม่
เทคโนโลยีและโมเดล EV ญี่ปุ่นที่เตรียมมาในไทย
ถึงแม้จะล่าช้า แต่ค่ายญี่ปุ่นก็มีแผนชัดเจนในการปล่อยโมเดลใหม่หลายรุ่นในปี 2025 ถึงแม้จริงๆ จะขยายถึงปี 2027 ก็ตาม โดย Toyota จะมีการประกาศราคา BZ4X ในเดือนตุลาคม และเตรียมเปิดตัวกระบะไฟฟ้า Hilux Travel E ที่พัฒนาที่ประเทศไทย พร้อมมอเตอร์คู่และหลายชิ้นส่วนจาก BZ4X
Honda มีแผนเปิดตัวโมเดล ENP2 ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม EV แท้ ๆ ขนาดใหญ่ขึ้น โดยมีการร่วมทุน (Joint Venture – JV) กับค่ายจีน ส่วน Suzuki เตรียมเอา Evitara ที่ผลิตในอินเดียมาขายในไทย ซึ่งถึงแม้ราคาจะสูงเกินล้านบาท แต่ยังไม่มีการทำ FTA กับอินเดียเหมือนกับจีนในเรื่องภาษี ส่วน Mazda จะมี Mazda 6E หรือ EZ6 ที่วางจำหน่ายในจีนกำลังทดสอบในไทย และ Nissan กับโมเดล N7 ยังอยู่ในสถานะลึกไม่ชัดเจน
กลยุทธ์ประเทศไทย และความร่วมมือกับจีน
ค่ายญี่ปุ่นส่วนใหญ่เลือกทำ JV กับค่ายจีนเพื่อใช้ประโยชน์จากโอกาสทางภาษีนำเข้ารถยนต์ที่ 0% จากจีนในประเทศไทย เพราะรัฐบาลไทยไม่ได้สนับสนุนค่ายญี่ปุ่นเหมือนจีน จึงต้องใช้ข้อได้เปรียบทางภาษีเป็นช่องทางหลักในการแข่งขันและจำหน่าย
รวมถึงค่ายญี่ปุ่นได้เตรียมแผนและโมเดลเพิ่มเติมที่หลากหลายในตลาด ทั้ง EV และไฮบริด (Hybrid) ควบคู่กันไป ยกตัวอย่าง Nissan ที่เริ่มเปิดตลาดไฮบริดในราคาสมเหตุสมผลและจะตามมาด้วยโมเดลอื่นในช่วงปี 2026-2027
จุดแข็งที่ญี่ปุ่นจะใช้สู้กับ EV จีน
ค่ายรถญี่ปุ่นไม่ได้มุ่งเน้นการทำสงครามราคาหรือลดราคาแบบจีน แต่เน้นสร้างคุณค่าและบริการหลังการขายที่เข้มแข็ง ทั้งในเรื่องเครือข่ายโชว์รูม สิ่งอำนวยความสะดวก การซ่อมบำรุง และความรู้ของช่างซ่อมที่ผ่านการอบรมจริง ซึ่งเป็นจุดอ่อนสำคัญของค่ายจีนในขณะนี้
อีกทั้งภาพลักษณ์แบรนด์ (Brand Perception) ของค่ายญี่ปุ่นแข็งแกร่ง และลูกค้ามีความเชื่อมั่นในคุณภาพและราคามือสองที่ไม่ลดลงเหมือนรถจีน ด้วยเหตุนี้ ญี่ปุ่นจึงเน้นการเป็นทางเลือกที่พรีเมียมกว่า และไม่เน้นต้นทุนต่ำหรือราคาเป็นหลัก
มุมมองและความคาดหวังในเทคโนโลยี EV ญี่ปุ่น
สำหรับเรื่องซอฟต์แวร์หรือฟังก์ชันไฮเทค ญี่ปุ่นอาจสู้จีนไม่ได้ในแง่ของนวัตกรรมล้ำสมัยหรือฟีเจอร์เสริมมากมาย แต่หากเป็นผู้ใช้งานที่ต้องการเพียงอุปกรณ์พื้นฐานและความทนทานในการใช้งานประจำวันก็ถือว่าเพียงพอและมีความเสถียร
ดังนั้น จุดแข็งของญี่ปุ่นจะอยู่ที่สมรรถนะ รถยนต์ที่มีคุณภาพสูงและระบบการดูแลหลังการขายที่มืออาชีพซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าไม่ต้องกังวลเรื่องความทนทานและบริการในระยะยาว
บทส่งท้ายและสิ่งที่ต้องติดตาม
ค่ายญี่ปุ่นที่กำลังลุยตลาด EV ไทยปีนี้เข้ามาพร้อมกันหลายค่าย ทั้ง Toyota, Honda, Mazda, Suzuki และ Nissan ด้วยตัวเลือกที่เน้นคุณภาพและบริการหลังการขายเป็นหลัก การแข่งขันนี้ไม่ใช่แค่เรื่องราคาแต่เป็นศึกศักดิ์ศรีและการแสดงตัวตนในตลาดที่กำลังโตอย่างรวดเร็ว
เรายังจะได้เห็นความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยียานยนต์ญี่ปุ่นในงาน Japan Mobility Show ที่เมืองโตเกียว และติดตามสถานการณ์การตลาดรถยนต์ในไทยในอนาคตอย่างใกล้ชิด
สำหรับผู้สนใจในเรื่อง EV และตลาดรถยนต์นี้ สามารถติดตามและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ที่ช่องนี้
หากชอบคลิปนี้สามารถดูได้ทางด้านล่างนี้ ขอฝาก กด LIKE กด SHARE กด SUBSCRIBE ที่ช่องของพวกเราด้วยนะครับ
📣 สนับสนุน Welldone Guarantee
มาเรียนรู้คอร์สพื้นฐานและโอกาสทางธุรกิจในยุค EV ได้เลย!
สำหรับผู้ที่อยากรู้เรื่องรถยนต์ไฟฟ้าและอยากต่อยอดธุรกิจ
🚀 อย่ารอช้า! รอบต่อไป 15 พ.ย. นี้
evguarantee.net/ev-basics-course/
👉 ไลน์ @welldone.guarantee (มีแอดด้วยนะ)
หรือคลิกเลย Link: lin.ee/Hk3XVIi
#รถยนต์ไฟฟ้า #EV #ธุรกิจยุคEV #DoctorEV #DrEV
