เทคโนโลยีชาร์จเร็วรถ EV ระหว่าง Tesla Supercharge กับ Huawei Ultra Fast Charge

ปัจจัยที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้รับความนิยมมากขึ้นในบ้านเราคือเทคโนโลยีการชาร์จที่เร็วขึ้นจนเทียบเท่าการเติมน้ำมันธรรมดา ซึ่งในปี 2025 นี้มี 2 เทคโนโลยีหลักที่น่าสนใจ ได้แก่ Tesla Supercharge และ Huawei Ultra Fast Charge ที่กำลังแข่งขันกันเพื่อเป็นผู้นำในตลาดสถานีชาร์จที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

ความสำคัญของกำลังไฟและแรงดันไฟในการชาร์จ

สำหรับการชาร์จไฟ ความเร็วขึ้นอยู่กับกำลังไฟฟ้าซึ่งคำนวณจากแรงดันไฟ (Voltage) คูณกับกระแสไฟ (Current) เปรียบเหมือนแรงดันเป็นปั๊มหรือตัวดันน้ำมันและกระแสเป็นปริมาณน้ำที่ไหลออก ยิ่งแรงดันและกระแสสูง การชาร์จจะรวดเร็วขึ้น เทคโนโลยีรถ EV ตอนนี้จึงพัฒนาสถาปัตยกรรมแบตเตอรี่จาก 400 โวลต์ขึ้นไปถึง 800 โวลต์ เพื่อรองรับการชาร์จเร็ว

4 ระดับเทคโนโลยีการชาร์จรถ EV

1. Normal Charge / Slow Charge (AC) กำลังไฟ 2-22 กวัตต์ ใช้เวลาชาร์จ 4-12 ชั่วโมง เหมาะกับการชาร์จที่บ้านหรือสถานที่ทำงาน
2. DC Fast Charge กำลังไฟ 50-150 กวัตต์ ใช้เวลาชาร์จ 30-60 นาที เห็นได้ตามปั้มน้ำมันและสถานที่สาธารณะ
3. Ultra Fast Charge (High Power) กำลังไฟ 250-720 กวัตต์ ใช้เวลาชาร์จเพียง 5-15 นาที ช่วยให้เหมือนได้ชาร์จเร็วเท่ากับเติมน้ำมัน
4. Megawatt Charging System (MCS) สำหรับรถเชิงพาณิชย์ กำลังไฟ 1,000-3,000 กวัตต์ ใช้เวลาน้อยกว่า 10 นาที ใช้เฉพาะในยุโรปและจีน ยังไม่แพร่หลายในไทย

พัฒนาการของ Tesla Supercharger

Tesla เริ่มพัฒนา Supercharger ตั้งแต่ปี 2012 ด้วยกำลังไฟ 90-120 กวัตต์ และปรับปรุงเป็น 120-150 กวัตต์ในปีถัดมา ก่อนเปิดตัวเวอร์ชั่น 3 ที่รองรับ 250 กวัตต์พร้อมระบบ Liquid Cooling ในปี 2019 โดยเวอร์ชั่น 4 ล่าสุดสามารถจ่ายไฟสูงสุด 500 กวัตต์ รองรับรถ EV พรีเมียม เช่น Tesla Cybertruck และ Tesla Semi ที่ต้องการกำลังสูงมาก

เทคโนโลยี Huawei Ultra Fast Charge

Huawei พัฒนาเทคโนโลยี Ultra Fast Charge ตั้งแต่ปี 2021 มี Power Unit กลางที่จัดการจ่ายไฟด้วยระบบ Liquid Cooling รองรับแรงดันไฟ 200-1,000 โวลต์ และกระแสสูงสุดประมาณ 500 แอมป์ สามารถชาร์จภายใน 5 นาทีและวิ่งได้ไกลประมาณ 200 กิโลเมตร ปัจจุบันเริ่มให้บริการในไทยและยุโรป โดยจ่ายไฟสูงสุดประมาณ 720 กวัตต์ และในอนาคตเตรียมพัฒนาระบบเมกะวัตต์รองรับรถแบตเตอรี่ความจุสูง

เปรียบเทียบเทคโนโลยีและการใช้งานจริงในประเทศไทย

• กำลังจ่ายสูงสุด: Tesla Supercharge เวอร์ชั่น 4 สามารถจ่ายไฟได้สูงสุด 500 กวัตต์ต่อหัว ขณะที่ Huawei Ultra Fast Charge สามารถจ่ายไฟจริงได้ประมาณ 480 กวัตต์ต่อหัว และแชร์กันได้สูงสุด 1 เมกะวัตต์ที่ Power Cabinet
• แรงดันและกระแส: Tesla รองรับแรงดัน 400-1,000 โวลต์ กระแสสูงสุด 615 แอมป์ ส่วน Huawei รองรับแรงดัน 200-1,000 โวลต์ และกระแสสูงสุด 500 แอมป์ ซึ่ง Huawei รองรับรถ EV ที่หลากหลายรุ่นมากกว่า
• ระบบระบายความร้อน: ทั้งสองแบรนด์ใช้ระบบ Liquid Cooling ทั้ง Power Unit และหัวจ่าย เพื่อรองรับการทำงานกำลังไฟสูง
• ความเข้ากันได้กับรถ: Tesla ยังจำกัดเฉพาะรถ Tesla เท่านั้น ในขณะที่ Huawei รองรับแบรนด์รถ EV ทั่วไปในประเทศไทยมากกว่า
• ต้นทุนการลงทุน: ต้นทุน Ultra Fast Charge สูงกว่าการชาร์จ DC Fast Charge อยู่ประมาณ 30-60% แต่ช่วยเพิ่มอัตรา Turn Rate ลูกค้า หมายความว่าให้บริการลูกค้าได้เร็วและจำนวนมากขึ้น

ผลกระทบและอนาคตของ Ultra Fast Charge ในไทย

เทคโนโลยี Ultra Fast Charge กำลังค่อยๆ เข้ามาในไทยและช่วยยกระดับโครงสร้างพื้นฐานชาร์จรถ EV แก้ไขปัญหาระยะเวลาชาร์จไฟนาน เพิ่มความสะดวกและคลายความกังวลของผู้ใช้ EV โดยเฉพาะรถ EV พรีเมียมที่ใช้สถาปัตยกรรม 800 โวลต์ ซึ่งรองรับเทคโนโลยีนี้เต็มประสิทธิภาพ

ขณะนี้สถานีชาร์จ Huawei Ultra Fast Charge เริ่มมีใน EV Hub และผู้ให้บริการอย่าง EV Station Plus และ Spark เริ่มลงทุนซื้อและติดตั้งตู้ Ultra Fast Charge ที่มีต้นทุนสูงกว่าระบบ DC Fast Charge ธรรมดา แต่แลกกับความรวดเร็วในการเติมไฟและการรองรับลูกค้าได้มากขึ้น

ผู้ใช้รถ EV ควรเลือกใช้สถานีชาร์จที่เหมาะกับสถาปัตยกรรมรถตนเอง เพราะรถ EV แบตเตอรี่ 400 โวลต์ทั่วไปอาจชาร์จไม่เต็มประสิทธิภาพที่สถานี Ultra Fast Charge ขณะที่รถ EV 800 โวลต์ได้รับประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ควรคำนึงถึงค่าไฟที่อาจสูงกว่าสถานีชาร์จอื่นๆ แต่แลกกับเวลาที่ประหยัดมากขึ้น

ดังนั้น การชาร์จ EV ได้เร็วเท่ากับเติมน้ำมันด้วย Ultra Fast Charge ไม่ใช่เรื่องไกลเกินฝันอีกต่อไป และปี 2025 นี้จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคใหม่ของวงการ EV ในไทยอย่างแท้จริง

หากชอบคลิปนี้สามารถดูได้ทางด้านล่างนี้ ขอฝาก กด LIKE กด SHARE กด SUBSCRIBE ที่ช่องของพวกเราด้วยนะครับ