Jaecoo 5 EV กับราคาต่ำกว่า 600,000 บาท จุดเริ่มต้นสงครามราคารถไฟฟ้า

ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยกำลังร้อนแรง หลังค่ายน้องใหม่ Omada เปิดตัว Jaecoo 5 EV รถ BSUV พลังงานไฟฟ้า 100% ด้วยราคาที่เข้าถึงง่ายไม่เกิน 600,000 บาท ตีตลาดสไตล์รถบ็อกซ์คล้าย Range Rover แต่ราคาต่ำกว่ามาก สร้างกระแสยอดจองกว่า 6,500 คันในงาน Big Motor Show ที่ผ่านมา

ราคาของ Jaecoo 5 EV รุ่นเริ่มต้นอยู่ที่ 629,000 บาท ลดเหลือ 549,000 บาท โดยหั่นราคาขาดทุนถึงคันละ 80,000 บาท ส่วนรุ่นท็อปราคาเต็ม 679,000 บาท ลดเหลือ 599,000 บาท กลยุทธ์ราคาถูกนี้สร้างคำถามว่าแบบนี้จะไปต่อได้อย่างยั่งยืนหรือไม่

เหตุผลของการลดราคาสำหรับเจาะตลาด BSUV

กลยุทธ์หลักของ Jaecoo 5 EV คือการตลาดให้เป็นไวรัล เน้นเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้รถ BSUV ที่ตลาดมีแข่งขันจากหลายแบรนด์จีนอย่าง BYD, GACON, MG, และ Cherry โดยเฉพาะกลุ่มย่อยรถบ็อกซ์ BSUV ที่เริ่มมีราคาต่ำแทรกในตลาดมากขึ้น

การก้าวเข้ามาหั่นราคาครั้งนี้ได้รับแรงหนุนจากการที่บริษัทแม่ในจีนที่ Omada จัดตั้งเอง พร้อมมีมาตรการส่งเสริมจากรัฐบาลจีนที่สนับสนุนการส่งออก EV ออกนอกประเทศ รวมถึงได้รับสิทธิ์จากมาตรการ EV ของไทยช่วยลดภาษีอีกประมาณ 100,000 บาทต่อคัน ทำให้แม้มีการขาดทุนต้นทุนค่ารถ 80,000 บาท แต่ได้รับเงินส่วนอื่นทดแทน จึงยังคงเป็นกลยุทธ์ที่คุ้มค่า

การแข่งขันระหว่างแบรนด์จีนและผลกระทบต่ออุตสาหกรรม EV ในไทย

สงครามราคาปัจจุบันไม่ใช่เพียงการแข่งขันระหว่างญี่ปุ่นและจีน แต่เป็นการแข่งขันระหว่างแบรนด์จีนที่มาแย่งส่วนแบ่งตลาดกันเองในประเทศไทย ที่มีผู้เล่นหลากหลาย ค่ายรถจีนพยายามแยกส่วนตลาดตามเซกเมนต์รถ SUV B ไปจนถึงรถเก๋งและรถยนต์เมืองขนาดเล็ก

ด้วยราคาที่ถูกจนน่าจับตามองนี้ สร้างแรงกดดันต่อแบรนด์เจ้าตลาดเดิม เช่น Toyota ที่ครองตลาด Corolla Cross หรือ Yaris Cross ส่งผลให้ตลาด EV ในไทยมีโอกาสถูกผูกขาดโดยแบรนด์จีน หากการแข่งขันราคาไม่เหมาะสมในระยะยาว

การลงทุนและการสร้างศูนย์บริการหลังการขาย

Jaecoo 5 EV อยู่ภายใต้เครือ Omada และ Cherry ซึ่งมีแผนตั้งโรงงานผลิตในจังหวัดระยอง โดยจะเริ่มต้นจากการนำเข้าชิ้นส่วนแบบ CKD (น็อตดาวน์) แล้วค่อยขยายเป็นการผลิตชิ้นส่วนในประเทศหรือ Local Content เพื่อใช้สิทธิ์ทางการค้าเสรี (FTA) ส่งออกในอาเซียนและประเทศอื่น ๆ

แบตเตอรี่ของ Jaecoo 5 EV ใช้ของ CATL ผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่โลกที่มีแผนขยายตลาดในไทย แต่สิ่งที่ต้องจับตามากคือเรื่องบริการหลังการขายและการรับประกัน เพราะ Jaecoo 5 EV ใช้ศูนย์บริการเดิมของ NETA ซึ่งมีประวัติปัญหาการดูแลลูกค้าและการยกเลิกวารันตี

ความเสี่ยงและคำถามที่ยังค้างคา

ถึงแม้การลดราคาสร้างยอดขายถล่มทลายและกลยุทธ์ Shock and Scale จะมีความชาญฉลาด โดยผสมผสานการลดต้นทุนการผลิตด้วยการลงทุนโรงงานเอง แต่ก็มีคำถามที่สำคัญ ได้แก่

• การลดราคานี้จะเป็นกลยุทธ์ระยะสั้นหรือยั่งยืนในระยะยาว
• จะทำให้อุตสาหกรรม EV ในไทยถูกผูกขาดโดยจีนหรือไม่
• ผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยพร้อมหรือไม่กับการผลิต Local Content
• การบริการหลังการขายและการสนับสนุนลูกค้าจะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะเมื่อลูกค้าจำนวนมากเริ่มใช้ Jaecoo 5 EV

นี่เป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องติดตามต่อไปในอนาคต เพราะแม้สินค้ามีราคาถูกและน่าสนใจแต่บริการหลังการขายมีผลต่อความเชื่อมั่นและความยั่งยืนของแบรนด์อย่างมาก

สรุป

Jaecoo 5 EV การตั้งราคาถูกและยอดจองกว่า 6,500 คันเป็นตัวชี้วัดความสนใจที่ดี ส่วนการขาดทุน 80,000 บาทต่อคันได้รับการซัพพอร์ตจากบริษัทแม่และมาตรการ EV ในไทย ทำให้กลยุทธ์นี้ดูไม่ขาดทุนอย่างแท้จริง แต่ยังต้องจับตาว่าการลงทุนในโรงงานผลิตในไทยและการจัดการศูนย์บริการจะช่วยให้ยืนยาวได้หรือไม่ ไม่ให้ซ้ำรอยปัญหาที่เกิดขึ้นกับแบรนด์ NETA ในอดีต

สถานการณ์สงครามราคาที่มีการแข่งขันอย่างดุเดือดระหว่างแบรนด์จีนด้วยกันเอง บวกกับความต้องการตลาดอาเซียน จะทำให้ไทยกลายเป็นฐานผลิตและตลาดสำคัญ แต่ก็นำมาซึ่งความท้าทายทั้งทางด้านธุรกิจและบริการหลังการขาย

สำหรับเพื่อนๆที่สนใจ Jaecoo 5 EV ควรติดตามความเคลื่อนไหวเรื่องคุณภาพรถและบริการหลังการขายอย่างใกล้ชิด เพื่อประกอบการตัดสินใจที่ปลอดภัยและถูกใจในระยะยาว

หากชอบคลิปนี้สามารถดูได้ทางด้านล่างนี้ ขอฝาก กด LIKE กด SHARE กด SUBSCRIBE ที่ช่องของพวกเราด้วยนะครับ