ปัจจุบันจะเห็นได้ว่าตลาดรถยนต์น้ำมันกำลังอยู่ในช่วงขาลง และถูกแทนที่กระแสพลังงานยานยนต์สะอาด หรือพลังงานไฟฟ้า ซึ่งผู้เล่นรายใหม่ที่กำลังมีบทบาทเข้ามาแข่งขันตลาดรถยนต์ คือ รถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีน
ที่มีจุดเด่นในเรื่องของฟีเจอร์ การออกแบบ ลักษณะภายนอกตัวรถ และราคาที่สามารถเข้าถึงได้ พยายามชิง
ส่วนแบ่งการตลาด เนื่องจากตลาดรถยนต์มีขนาดเท่าเดิม แต่คนเริ่มเปลี่ยนหันมามาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น
ส่งผลให้ค่ายรถยนต์ดั้งเดิม คือ ค่ายรถญี่ปุ่น กำลังสูญเสียส่วนแบ่งทางตลาดอย่างต่อเนื่อง
ทางค่ายรถญี่ปุ่นตระหนักในเรื่องดังกล่าว และกำลังผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกมา แต่ค่ายรถญี่ปุ่นต้องยอมรับว่าไม่สามารถสู้กับรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีน ทั้งในเรื่องของการออกแบบ ฟังก์ชัน และราคา
เหตุผลที่รถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีนชนะค่ายรถญี่ปุ่นมีทั้งหมด 6 ข้อ ดังนี้
1. จีนคุมซัพพลายแบตเตอรี่ลิเธียมมากที่สุดในโลก
ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา แร่ลิเธียมเป็นทรัพยากรที่สำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับไฟฟ้า
มือถือ และอุปกรณ์ IT
จากการนำแร่ลิเธียมมาเป็นส่วนประกอบในการผลิตแบตเตอรี่ หรือแหล่งกักเก็บพลังงานไฟฟ้า
ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของมือถือ แล็ปท็อป หรือยานพาหนะที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งแร่ลิเธียมเป็นแร่หายาก
ที่มีอยู่อย่างจำกัด
ซึ่งการแปรรูปแร่ลิเธียม ทางประเทศจีนเป็นประเทศที่ใช้ลิเธียมดิบจำนวนมากที่สุดอยู่ที่ 93,000 ตัน
ที่สามารถขุดได้จากทั่วโลกคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 40% ในปี 2564
เมื่อมองจากสัดส่วน ประทศจีนเป็นผู้ควบคุมแร่ซัพพลายเชนเป็น 70% ของอุตสาหกรรมเหมืองแร่
ไม่ว่าจะเป็นประเทศคองโก ซึ่งเป็นผู้ผลิตแร่โคบอลต์เป็นจำนวนเกือบทั้งหมดของโลก เพื่อนำมาใช้เป็น
ส่วนประกอบที่สำคัญสำหรับการทำแบตเตอรี่ลิเธียม NMC ร่วมกับแร่ลิเธียม ซึ่งเป็นแบตเตอรี่ที่บรรจุพลังงานจำนวนมาก
รวมทั้งประเทศจีนลงทุนไล่กว้านซื้อเหมืองจำพวกลิเธียม นิกเกิล ทั้งหมด จากประเทศแอฟริกา
และประเทศอเมริกาใต้ ที่มีเหมืองแร่ลิเธียมจำนวนมาก
จากส่วนแบ่งทางการตลาดของแร่ลิเธียมไอออนของประเทศจีนที่ผลิตออกมา ตามการซื้อแหล่งวัตถุดิบ
ในการผลิตแบตเตอรี่ดังกล่าว ส่งผลให้ประเทศจีนสามารถผลิตแบตเตอรี่เป็นสัดส่วนสูงถึง 80% ของทั้งโลก
จะเห็นได้จากผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่สัญชาติจีนจำนวน 6 แบรนด์ ที่อยู่ใน 10 อันดับแรกของผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่ ของโลก
อันดับที่ 1 คือ บริษัท CATL มีมูลค่าการลงทุนลิเธียมอยู่ที่ประมาณ 1.4 พันล้านดอลลาร์
อันดับที่ 2 คือ บริษัท BYD มีมูลค่าการลงทุนเกี่ยวกับธุรกิจอุตสาหกรรมแบตเตอรี่อยู่ที่ประมาณ
290 ล้านดอลลาร์
ทำให้หลายประเทศที่ต้องการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า จะต้องพึ่งพาในการสั่งซื้อแบตเตอรี่จากผู้ผลิตสัญชาติจีน
2. จีนมีการลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีแพลตฟอร์มยานยนต์ไฟฟ้าเป็นของตัวเอง
ซึ่งเป็นการต่อยอดจากการผลิตสินค้ามือถือ รวมถึงทางรัฐบาลมีการส่งเสริมเปิดให้แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้า
อันดับหนึ่งของโลก คือ Tesla เข้ามาลงทุนในประเทศ โดยไม่มีการถือหุ้นจากประเทศจีน เพื่อนำความรู้มาสร้างแพลตฟอร์มยานยนต์ไฟฟ้าของตัวเอง
หากมองย้อนกลับไปก่อนที่จะมาเป็นยุคของยานยนต์ไฟฟ้า ทางประเทศจีนเป็นศูนย์กลางการผลิต
โทรศัพท์มือถือ อย่าง Smartphone ระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ชั้นนำ คือ iPhone
หลังจากนั้นจึงมีการต่อยอดทำการผลิตมือถือแบรนด์จีน คือ HUAWEI, XIAOMI, OPPO และ VIVO
และมีส่วนแบ่งทางการตลาดทั้งในประเทศจีนและต่างประเทศค่อนช้างมาก จากราคา รูปร่างหน้าตา และฟีเจอร์
ที่สามารถสู้กับแบรนด์จากต่างประเทศ
ซึ่งบริษัทเหล่านี้มีการลงทุนเป็นเป็นเม็ดเงินจำนวนมหาศาล ในการวิจัยสร้างฟีเจอร์ การออกแบบรูปร่างหน้าตา
และการใช้งาน ให้มีความทันสมัย และทำให้คนมีความกล้าซื้อมาใช้งานมากขึ้น
นอกจากนี้ประเทศจีนเป็นผู้นำในเรื่องของสัญญาณ 5G โดยมีบริษัท HUAWEI มีการพัฒนาอุปกรณ์
การรับสัญญาณความเร็วสูง อินเตอร์เน็ตไร้สาย 5G ขึ้นมา ส่งผลให้บริษัท HUAWEI กลายเป็นผู้นำและสนับสนุนกระจายเทคโนโลยีนี้ให้กับแบรนด์ต่าง ๆ ให้สามารถเข้าถึงได้ง่าย
จะเห็นได้ว่าองค์ประกอบจิ๊กซอว์แต่ละชิ้นเริ่มต่อกันมา โดยเริ่มจากมือถือ การส่งสัญญาณ
จนมาถึงยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าเปรียบเสมือนกับ Smartphone วิ่งได้
ดังนั้นทางรัฐบาลจึงมีการส่งเสริมสนับสนุนให้กับผู้ประกอบการที่ต้องการทำแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้า
ส่งผลให้เกิดแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าค่ายใหม่ขึ้นมาจำนวนมาก จนกลายเป็นแบรนด์ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจีนรายใหญ่
อาทิ BYD, NIO, XPENG, LI AUTO, CHANGAN และ GAC AION
ซึ่งค่ายรถยนต์ไฟฟ้าดังกล่าว มี Know-How แพลตฟอร์มเป็นของตัวเอง จากการส่งเสริมของรัฐบาล
จะเห็นได้จากการมีแพลตฟอร์ม การพัฒนาลงทุนเป็นเม็ดเงินจำนวนมากในเรื่องของการวิจัยระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ ความสามารถในการขับขี่ และเซ็นเซอร์ต่าง ๆ
รถยนต์ไฟฟ้าจะไม่มีเพียงแค่เรื่องของแบตเตอรี่และมอเตอร์ แต่ยังรวมถึง Know-How
ในเรื่องระบบขับขี่อัตโนมัติและระบบการช่วยขับ
เหตุผลที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าเกิดอย่างรวดเร็วมาจากการยอมให้ Tesla เข้ามาลงทุนภายในประเทศ
ถึงแม้ว่าจะเป็นแบรนด์ค่ายรถสัญชาติสหรัฐอเมริกา เพราะ Tesla สร้าง Know-How และ Ecosystem
จะเป็นการเร่ง ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีนเติบโตอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้แบรนด์ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศจีนมีการลงทุนในเรื่องของเทคโนโลยี AI เหมือนกับ Tesla
โดยค่ายรถยนต์ไฟฟ้า Tesla มีเทคโนโลยี Data Dojo Center ทางค่าย XPENG เช่นเดียวกัน ดังนั้นในเรื่องของระบบอัตโนมัติแบบไร้คนขับ จึงใกล้เคียงกัน
3. จีนขายในประเทศก็เยอะแถมรัฐบาลคอยสนับสนุน
เนื่องจากตลาดรถยนต์ของประเทศจีนมีขนาดใหญ่ ตามจำนวนประชากรหลักพันล้านคน ทำให้การขาย
รถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ จึงมีจำนวนที่มากเพียงพอ และรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนให้คนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า
ประเทศจีนประสบปัญหาหลักในเรื่องของการนำเข้าน้ำมัน เมื่อเกิดสงครามการค้ากับประเทศสหรัฐอเมริกา
ทำให้ถูกกีดกันเรื่องของการนำเข้าน้ำมัน ประกอบกับประเทศจีนเกิดมลพิษทางอากาศ โดยในช่วงโอลิมปิกจัดที่
กรุงปักกิ่ง มีประเด็นที่คนโจมตีว่าประเทศจีนเป็นโรงงานโลกที่เกิดฝุ่นและมลภาวะเป็นพิษค่อนข้างมาก
ทางประเทศจีนจึงเร่งหาทางแก้ไขปัญหา ส่งผลให้ยานยนต์ไฟฟ้าจึงเป็นแผนพัฒนานโยบายเศรษฐกิจ
แห่งชาติ ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในช่วงแรกที่ประเทศจีนต้องการให้คนที่ใช้รถยนต์น้ำมันเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า ทางภาครัฐมองว่าตั้งแต่
ปี 2009 เป็นต้นมา โดยประเทศจีนจะมีการส่งเสริมในเรื่องของเงินอุดหนุน การลดหย่อนภาษีทั้งฝั่งผู้ซื้อและ
ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในช่วงเริ่มต้น
หลังจากนั้นในปี 2016 ประเทศจีนมีการเปิดตัวโครงการยายนยนต์ไฟฟ้าระดับชาติ รวมทั้งการลงทุน
สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า และโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีการตั้งเป้าหมายว่าจะต้องมีรถยนต์ไฟฟ้าวิ่งบนท้องถนนจำนวน 5 ล้านค้นภายในปี 2020 ซึ่งปัจจุบันบรรลุเป้าหมายเรียบร้อยแล้ว โดยมียอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศจีนจำนวนมากกว่า 6 ล้านคัน ทั่วประเทศ
นอกจากนี้มีการผลักดันให้ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเร่งทำการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่มีคุณภาพ สามารถตอบโจทย์
การใช้งาน และมีราคาที่สามารถเข้าถึงได้ จึงเกิดผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง BYD, NIO, XPENG, LI AUTO, CHANGAN, GAC AION และ NETA
ซึ่งแบรนด์ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าดังกล่าว มีรัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้น โดยในแต่ละแบรนด์จะมีการถือหุ้นในสัดส่วนแตกต่างกัน หรือเป็นของภาครัฐแบบ 100% เป็นการเสริมในด้านของเงินการลงทุน
สำหรับคนที่ต้องการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ทางประเทศจีนพยายามสนับสนุน ซึ่งรถยนต์ที่มีป้ายทะเบียนรถเป็น
สีเขียว จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า
ประกอบกับทางประเทศจีนควบคุมรถยนต์น้ำมัน โดยถ้าซื้อรถยนต์ไฟฟ้าจะได้รับในทันที และสามารถวิ่งบนท้องถนนได้ทุกวัน แต่ถ้าเป็นรถยนต์น้ำมันจะต้องใช้เวลาในการรอรับรถ และมีการกำหนดวันวิ่ง วันคู่วันคี่
เพื่อให้คนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าขยายตัว ส่งผลให้ประเทศจีนสามารถ
ทำการยกเลิกนโยบายเงินอุดหนุนเรียบร้อยแล้ว
4. ความสามารถในการแข่งขัน ด้านต้นทุน
จากการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าปริมาณจำนวนมาก ส่งผลให้ราคาสามารถทำการแข่งขันและตลาดขยายเป็น
ระดับโลกเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจากข้อที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าประเทศจีนมีจำนวนประชากรพันล้านคน
รวมถึงการครอบครองแหล่งแร่ลิเธียมประมาณ 70% ทำให้การลงทุนในเรื่องของเทคโนโลยี อย่าง
เทคโนโลยีแพลตฟอร์ม ประกอบกับมีการสนับสนุนจากรัฐบาล ส่งผลให้ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศจีนที่ยังคงอยู่
มีความแข็งแกร่ง เนื่องจากการแข่งขันตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศจีนอยู่ในระดับสูง ทำให้ต้องมีการขยายตลาดออกไปสู่ตลาดโลก โดยการยกระดับจากรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายภายในประเทศเป็นระดับตลาด Global
จะเห็นได้จากการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของรถยนต์ไฟฟ้าที่จะแตกต่างจากยุคแรก จะเป็นรุ่น GEN 2 GEN 3
มีการปรับโฉมการออกแบบที่ใช้ดีไซน์เนอร์ที่มีความเชี่ยวชาญจากค่ายรถยุโรป ส่งผลให้หน้าตาของรถยนต์ไฟฟ้าจีนเทียบเท่ากับรถของยุโรป
ประกอบกับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นหนึ่งจะจำหน่ายทั้งภายในประเทศและส่งออกไปต่างประเทศ
ส่งผลให้ Economy of Scale (การประหยัดต่อขนาด) ถูกลง จากการผลิตจำนวนมาก
นอกจากนี้เรื่องของระยะเวลาในการคืนทุน ถ้าหากมองที่โครงสร้างรถยนต์ไฟฟ้าเปรียบเทียบกับโครงสร้างของรถยนต์น้ำมัน ซึ่งการผลิตรถยนต์น้ำมัน 1 โมเดล จะมีอายุอยู่ที่ 6 ปี ถึงจะทำการเปลี่ยนแบบ Full Model
ทั้งในส่วนของเครื่องยนต์ รูปร่าง ระบบขับเคลื่อน แต่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่มีเทคโนโลยีแพลตฟอร์มเป็นของตัวเอง จะทำการเปลี่ยนแค่กระดองและฟีเจอร์
ส่งผลให้ใช้ระยะเวลาคืนทุนได้อย่างเร็วมากกว่า โดยรถยนต์ไฟฟ้าใช้เวลาคืนทุนเพียงแค่ 2 ปี ซึ่งจากที่กล่าวมาทำให้ค่ายรถญี่ปุ่นจะแข่งขันกับรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีนได้อย่างยากลำบาก
5. รถ EV จีน เปลี่ยนโมเดลได้ไว
รถยนต์ไฟฟ้าของประเทศจีนสามารถทำการเปลี่ยนโมเดลได้อย่างรวดเร็ว จากการที่มีชิ้นส่วนจำนวนน้อย
เมื่อเปรียบเทียบกับค่ายรถญี่ปุ่นที่เป็นค่ายรถน้ำมัน ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลาในการคืนทุน 3 – 6 ปี ซึ่งระยะเวลา 3 ปี
คือ Minor Change ส่วนระยะเวลา 6 ปี คือ Full Model
รถยนต์ไฟฟ้ามีเทคโนโลยีแพลตฟอร์มเป็นของตัวเอง จึงสามารถพัฒนาได้ง่ายและมีความรวดเร็วมากกว่า
โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 2 ปี ต่อรุ่น
6. ความร่วมมือระหว่างบริษัทต่าง ๆ
เป็นความร่วมมือระหว่างผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ากับผู้ผลิตอุตสาหกรรมอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี่
อุตสาหกรรม IT อาทิ HUAWEI Alibaba ในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า ยกตัวอย่าง รถ AVATR12 ที่เป็นการร่วมมือระหว่างผู้ผลิตแบตเตอรี่ CATL และค่ายผลิตรถ คือ CHANGAN รวมถึงระบบ iOS จาก HUAWEI ในเรื่องของ
การเชื่อมต่อสัญญาณระบบสมาร์ททั้งหมด
แม้กระทั่งค่าย NETA มีการ่วมมือกับทาง CATL ในการพัฒนาแพลตฟอร์ม Chassis แบบ CTC
(Cell to Chassis) เป็นการประกอบแบตเตอรี่เซลล์เข้ากับ Chassis หรือ Body ของรถโดยตรง
โดยทาง CATL จะผลิตแบตเตอรี่เป็นแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์ออกมา โดยมีการร่วมมือกับค่ายรถ
ทำให้เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าของจีนมีความทันสมัยล้ำหน้าอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการให้ความร่วมมือของแต่ละฝ่ายส่งผลให้เทคโนโลยีก้าวกระโดดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
ซึ่งการร่วมมืออยู่ร่วมกันเป็นยานยนต์จีน จะส่งผลให้ในอนาคตข้างหน้าประเทศจีนย่อมจะกลายเป็น
ผู้นำด้านเทคโนโลยียานยนต์แห่งอนาคต
และนี้คือเรื่องราวของเหตุผลที่รถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีนสามารถชนะและสามารถแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดรถยนต์จากค่ายรถญี่ปุ่น คุณสามารถรับชมได้จากคลิปด้านล่างและหากคุณชอบคลิปนี้ขอฝาก กด LIKE กด SHARE กด SUBSCRIBE ที่ช่องของพวกเราด้วยนะครับ
