ซื้อรถ EV ตอนนี้ดีมั้ย!? ราคาร่วงยับ!! เทคโนโลยีเปลี่ยนไว!! เมื่อไหร่ควรซื้อ!? เช็คลิสก่อนซื้อดูอะไร

         รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยมีกระแสตอบรับที่ดีอย่างมาก ตามยอดการจดทะเบียนจากงาน Motor Expo 2023 ที่ผ่านมา ซึ่งมีบรรยากาศที่คึกคักมากที่สุดในรอบ 10 ปี โดยมียอดจองรถใหม่มากกว่า 50,000 คัน
ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้ามีสัดส่วนอยู่ที่ 38% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา จะมีสัดส่วนของรถยนต์ไฟฟ้าเพียงแค่
14% เท่านั้น

         จะเห็นได้ว่าคนไทยเปิดใจรับเรื่องของรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น โดยให้ความสำคัญถึงการเป็นรถยนต์ที่ใช้
พลังงานไฟฟ้าแบบ 100%

         ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าเปรียบเสมือนกับมือถือ Smart Phone ที่สามารถวิ่งได้ ดังนั้นการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า
จึงให้ความรู้สึกเหมือนกับการซื้อเทคโนโลยี ฟีเจอร์ และการดีไซน์แบบใหม่ รวมถึงราคาของรถยนต์ไฟฟ้า
สามารถเข้าถึงได้ง่าย ประกอบกับมีค่ายรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยจำนวนมาก
โดยมีค่ายรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ที่เพิ่งมีการเปิดตัว คือ CHANGAN และ GAC AION

         ประกอบกับรถยนต์ไฟฟ้ามี Sagment ให้เลือกหลากหลายมากขึ้น จึงเป็นเหตุผลทำให้คนหันมาซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันมีกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ที่ไม่พร้อม จะใช้รถยนต์ไฟฟ้า หรือบางคนตั้งคำถามถึงเวลาที่ควรจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งนี้ทางเรามีการรวบรวมสิ่งที่คำนึงถึงสำหรับการตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ถ้าหากคุณสามารถ
ยอมรับในแต่ละข้อ ย่อมมีความพร้อมที่จะซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้งาน

การเช็คลิสต์สิ่งที่ต้องคำนึงถึงสำหรับการตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า

1. ระยะทางและเวลาในการชาร์จ

        หลายคนให้ความกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอันดับแรก ๆ ในการเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า จากที่กล่าวว่า
รถยนต์ไฟฟ้า คือ Smart Phone ที่สามารถวิ่งได้ หรือ Gadget ที่เป็นเทคโนโลยี หมายความว่าสินค้ารุ่นใหม่จะมีประสิทธิภาพที่ดีมากกว่ารุ่นเดิม จากการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง

         ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรก ๆ ที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นรถ NISSAN LEAF หรือ MG ZS EV

        รถ NISSAN LEAF มีแบตเตอรี่ขนาดความจุอยู่ที่ 40 kWh สามารถวิ่งได้ในระยะทาง 311 กม. ต่อ 1 การชาร์จ

         รถ MG ZS EV มีแบตเตอรี่ขนาดความจุอยู่ที่ 44.5 kWh สามารถวิ่งได้ในระยะทาง 337 กม. ต่อ 1 การชาร์จ ตามมาตรฐาน NEDC

         จะเห็นได้ว่ารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรก ๆ สามารถวิ่งได้ในระยะทางโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 300 กว่ากิโลเมตร เท่านั้น
         แต่ในปี 2023 รถยนต์ไฟฟ้าสามารถวิ่งได้ในระยะทางโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 400 – 500 กิโลเมตร
เนื่องจากแบตเตอรี่มีความจุพลังงานมากขึ้นและสามารถกักเก็บพลังงานจำนวนมาก รวมทั้งมีประสิทธิภาพสูงขึ้นมากกว่าเดิม ตามการพัฒนาแบตเตอรี่

         ในส่วนของระยะเวลาในการชาร์จ โดยเฉพาะการชาร์จแบบ DC Fast Charge เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงแรก
จะใช้เวลาในการชาร์จอยู่ที่ 40 – 60 นาที สำหรับการชาร์จแบตเตอรี่จาก 30% ขึ้นมาเป็น 80%

         แต่ในปัจจุบันจะใช้ระยะเวลาในการชาร์จอยู่ที่ประมาณ 35 – 45 นาทีสามารถนำรถยนต์ไฟฟ้าไปใช้งาน
และในอนาคตจะมีการพัฒนา ทำให้การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามีความว่องไวมากขึ้น

         ทางค่ายรถยนต์ไฟฟ้าหลายค่ายมีการพูดคุยถึงเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม หรือสถาปัตยกรรมของตัวรถยนต์ไฟฟ้า ควรทำการระบบกระแสไฟฟ้า High Volt จาก 400 Volt เพิ่มขึ้นเป็น 900 Volt เพื่อให้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถอัดพลังงานไฟฟ้าให้มีความแรงและความรวดเร็วมากขึ้น รวมถึงใช้ระยะเวลาในการชาร์จสั้นลง

         ถ้าหากคุณสามารถยอมรับในเรื่องของระยะทางที่รถยนต์ไฟฟ้าสามารถวิ่งได้ในระยะทางไกลโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 400 กว่ากิโลเมตร หรือการใช้ระยะเวลาในการชาร์จอยู่ที่ 30 – 40 นาที หมายความว่าคุณมีความเหมาะสมสำหรับการใช้รถยนต์ไฟฟ้า จากการเช็คลิสต์ข้อแรก

2. Segment ของรถยนต์ไฟฟ้า

           ตัวเลือกรถยนต์ไฟฟ้าในกลุ่ม Segment หรือ กลุ่มการใช้งานแบบต่าง ๆ ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงแรก
มีจำนวนตัวเลือกน้อยมาก โดยในปี 2021 จะมีเพียงแค่ รถ NISSAN ที่เป็นรถเก๋ง 5 ประตู, รถ MG ZS EV 

และ รถ ORA GOOD CAT ที่มาในช่วงปลายปี 2021

         ในช่วงเวลาถัดมา เริ่มมีแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าอื่น ๆ เข้ามามากขึ้น โดยในปี 2022 จะมีค่ายรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น อาทิ BYD และ NETA ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าของค่าย BYD คือ BYD ATTO 3 ที่เป็น รถ SUV Crossover 

รวมถึงค่าย Tesla และรถยนต์ไฟฟ้ายุโรปที่มีราคาเกิน 2 ล้านบาท จะเห็นได้ว่ารถยนต์ไฟฟ้ามีตัวเลือกเพิ่มมากขึ้น

         ส่วนในปี 2023 มีค่ายรถยนต์ไฟฟ้ารายใหม่ คือ GAC AION เป็น รถ SUV Crossover ที่แถวผู้โดยสารแถวที่ 2 มีขนาดกว้างอย่างมาก หรือค่าย CHANGAN ที่ขนาดรถยนต์ไฟฟ้าเทียบเท่ากับ Tesla Model Y 

รวมทั้งมีค่าย HYUNDAI IONIQ และค่าย VOLVO นอกจากนี้จะมีรถตู้ไฟฟ้า MG MAXUS 9

         รถยนต์ไฟฟ้าดังกล่าวมีสเปคที่สามารถวิ่งได้ในระยะทางไกลอยู่ที่ประมาณ 400 – 500 กิโลเมตร 

ซึ่งจะสามารถตอบโจทย์ต่อการใช้งาน สำหรับคนที่มองหารถยนต์ไฟฟ้าในกลุ่ม Segment ต่าง ๆ และ
เกิดความชอบรถยนต์ไฟฟ้าในกลุ่ม Segment เหล่านี้ตามค่ายรถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้าเข้ามา สามารถทำการเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า แต่ถ้ายังไม่ถูกใจ ในปี 2567 จะมีค่ายรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ใหม่เข้ามาเพิ่ม คาดว่าเฉลี่ยปีละ
2 – 3 แบรนด์ ส่งผลให้มีตัวเลือกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

3. ราคาของรถยนต์ไฟฟ้า

         จะเห็นได้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตออกมาจะมีราคาอยู่ที่หลักแสนปลาย ๆ ถึงประมาณล้านต้น ๆ ยกตัวอย่าง
รถ Eco Car
         ซึ่งราคาจะเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 5 – 8 แสนบาท อาทิ NETA V และ BYD DOLPHIN

        ต่อมาจะเป็นราคารถยนต์ไฟฟ้าที่อยู่ในระดับหลักแสนปลาย ๆ ถึงล้านต้น ๆ อาทิ ORA GOOD CAT, MG4,
MG ZS EV และ BYD ATTO 3

         ราคารถยนต์ไฟฟ้าดังกล่าว ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจากมาตรการ EV 3.0 ที่จะหมดลง
โดยมีเงินอุดหนุน 150,000 บาท ส่วนลดภาษีสรรพสามิต 6% จาก 8% เหลือ 2% รวมถึงลดภาษีนำเข้าเหลือ 0% ส่งผลให้ราคาของรถยนต์ไฟฟ้าสามารถเข้าถึงได้ โดยมีราคาเทียบเท่ากับราคารถยนต์น้ำมันในบางยี่ห้อ 

หรืออาจมีราคาที่ถูกมากกว่าในบางรุ่น หรือบาง Segment

         ส่วนในปี 2567 ถ้าผู้ใช้งานมองว่าตัวเลือกรถยนต์ไฟฟ้ามีจำนวนน้อยและต้องการรอแบรนด์ค่ายรถยนต์ไฟฟ้ารายใหม่ นอกจากนี้ในปี 2567 จะเป็นมาตรการ EV 3.5 หมายความว่าในเรื่องของเงินอุดหนุนจะลดน้อยลง
จาก 150,000 บาท จะเหลือแค่ 100,000 บาท  จากเทคโนโลยีของรถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นแบบใหม่ รวมทั้งแบตเตอรี่จะมีขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น

         จึงมีการขยายในเรื่องของเงื่อนไขสำหรับผู้ที่ได้รับเงินอุดหนุน 100,000 บาท รถยนต์ไฟฟ้าจะต้องมี
แบตเตอรี่ขนาดใหญ่มากกว่า 50 kWh ขึ้นไป หมายถึง รถยนต์ไฟฟ้าจะต้องสามารถวิ่งได้ในระยะทาง 

400 – 500 กิโลเมตร

         ถ้าขนาดของแบตเตอรี่น้อยกว่า 50 kWh จะได้รับเงินอุดหนุน 50,000 บาท เท่านั้น

         ดังนั้น สำหรับผู้ที่รอซื้อรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2567 จะต้องยอมรับว่าราคาของรถยนต์ไฟฟ้าจะแพงมากขึ้นประมาณ 50,000 – 100,000 บาท ยกเว้นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นที่ผลิตภายในประเทศไทย จะยังคงได้รับส่วนลดเงินอุดหนุน 150,000 บาท จนถึงสิ้นปี 2568  คุณจะสามารถซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ถ้ายอมรับในเรื่องของราคารถยนต์ไฟฟ้าที่สามารถทดแทนรถคันเดิม

4. ปัญหาการใช้งานและการบริการหลังการขาย

         รถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่ที่มาทำตลาดในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2565 จนถึงต้นปี 2567 จะเป็นการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้ามาแบบทั้งคัน คือ เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ประกอบมาจากประเทศจีน และนำเข้าโดยใช้สิทธิ FTA
(Free Trade Area)
ระหว่างประเทศไทยและประเทศจีน โดยภาษีนำเข้าอยู่ที่ 0%

         หมายความว่าเมื่อรถยนต์ไฟฟ้าเกิดปัญหาอุบัติเหตุ ในเรื่องของการบำรุงรักษา การดูแล การเช็คระยะ
ทางค่ายรถ จะมีบริการที่รองรับ แต่ในเรื่องของการเกิดเฉี่ยวชน ที่จะต้องรออะไหล่ จะต้องใช้เวลาในการรอเป็น

เวลานาน เนื่องจากประเทศไทยยังไม่มีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า จนกว่าจะตั้งโรงงานเสร็จในปี 2567 เป็นต้นไป

         นอกจากนี้มีปัญหาในเรื่องของราคาค่าเบี้ยประกันที่มีราคาแพง โดยเฉพาะในปีที่ 2 เนื่องจากประกัน
จะเป็นเรื่องสถิติการคำนวณ ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้ามีจำนวนน้อย เมื่อเกิดการชนในแต่ละครั้ง ทางประกันจะประเมินราคาค่าซ่อมได้อย่างยากลำบาก เพราะจำนวนเคสค่อนข้างน้อย
         ดังนั้นประกันจึงต้องเผื่อเบี้ยประกันให้มีราคาแพง จนกว่าจะได้อะไหล่ที่มีราคาถูกและสามารถผลิต

ภายในประเทศ รวมถึงมีข้อมูลที่เพียงพอต่อการประเมินราคาค่าซ่อมในแต่ละเคสที่เกิดขึ้น

         ปัจจุบันเบี้ยประกันมีการปรับลงมาให้มีความเหมาะสมตามแบบใหม่ของ คปภ. โดยจะมีการคำนวณเบี้ยประกันตามค่าเสื่อมของแบตเตอรี่อย่างน้อย 10% ส่งผลให้ค่าเบี้ยประกันถูกลง รวมทั้งถ้าผู้ขับรถยนต์ไฟฟ้ามีประวัติ
การขับที่ดี จะได้รับส่วนลดค่าเบี้ยประกัน

        ซึ่งจะเป็นแนวทางเริ่มต้นสำหรับประกันรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะเพียงอย่างเดียว ในอนาคตค่าเบี้ยประกันของ
รถยนต์ไฟฟ้าจะมีราคาที่สมเหตุสมผลมากขึ้น

5. ราคาขายต่อมือสอง

         คนที่ต้องการใช้รถยนต์ไฟฟ้า แต่มีความกังวลในเรื่องของราคาขายต่อ หรือราคามือสอง ที่อาจจะขาดทุน หรือเป็นขยะไร้ราคา แต่ในความเป็นจริงไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น ส่วนราคามือสองจะลดลง เปรียบเสมือนกับสินค้ามือถือ Smartphone โน๊ตบุ๊ค และแล็ปท็อป ซึ่งจะมีรุ่นใหม่ที่มีฟีเจอร์ที่ที่ดีมากขึ้นและมีความไวมากกว่า และพร้อมสามารถออกรุ่นใหม่ได้ทุกเวลา

         ดังนั้นรถยนต์ไฟฟ้าจัดอยู่ในตลาดแบบเดียวกับมือถือ Smartphone ซึ่งจะมียี่ห้อ, รุ่น และฟีเจอร์ใหม่
ที่พร้อมออกมาทำตลาด โดยอาจเป็นปีต่อปี หรือภายในครึ่งปี ที่จะมีการออกรุ่นใหม่ ดังนั้นราคามือสองย่อมที่ตกลง ตามเทคโนโลยีที่ออกมาที่มีความล้ำหน้าแบบก้าวกระโดด

         ในช่วง 3 – 5 ปี ราคาจะมีการเปลี่ยนแปลง จากเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าแบบก้าวกระโดด ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ
แบตเตอรี่ หรือฟีเจอร์ จะมีการแข่งขัน จนกว่าเทคโนโลยีจะนิ่งเหมือนกับมือถือ Smartphone

         ตัวอย่าง ราคารถยนต์ไฟฟ้ามือสอง

         MG ZS EV ที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยเมื่อปี 2017 โดยมีราคาเปิดตัวอยู่ที่ 1,190,000 บาท
ส่วนราคามือสองลดลงอยู่ที่ 628,000 บาท หรือประมาณ 50% เฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 10% ทั้งนี้ จะต้องคำนึงถึงเลขไมล์และการเสื่อมของแบตเตอรี่

         MG ZS EV รุ่น X ปี 2022 มีราคาเปิดตัวอยู่ที่ 1,023,000 บาท ส่วนราคามือสองลดลงอยู่ที่ 887,000 บาท หรือประมาณ 13% ซึ่งดูสมเหตุสมผล

         ORA Good Cat 500 ULTRA ที่ออกมาตั้งแต่ปี 2021 โดยมีราคาเปิดตัวอยู่ที่ 1,038,500 บาท 

ส่วนราคามือสองลดลงอยู่ที่ 775,000 บาท หรือประมาณ 20% จาก 2 ปีที่ผ่านมา

         เพราะฉะนั้นจะต้องมองจากเทคโนโลยีที่ออกมา โดย ORA Good Cat จากเทคโนโลยีในปี 2021 และในปี 2023 จะเห็นได้ว่าราคาจะเสื่อมลงเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10%

         สรุป จะเห็นได้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีในเรื่องของระยะทาง ระยะเวลาการชาร์จ จะมีการพัฒนา สามารถวิ่งได้ในระยะทางเฉลี่ยประมาณ 400 – 500 กิโลเมตร และในอนาคตอีก 2 ปีข้างหน้าระยะทางจะเพิ่มขึ้นเป็น 600 – 700 กิโลเมตรจากเทคโนโลยีเรื่องของแบตเตอรี่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว
         เรื่องของการชาร์จ เมื่อแบตเตอรี่มีการพัฒนา อุปกรณ์ การรองรับ ส่งผลให้ใช้เวลาในการชาร์จเพียงแค่
30 นาที จะสามารถวิ่งได้ในระยะทางเป็น 100 กิโลเมตร หรือในอนาคตอาจใช้เวลาในการชาร์จเพียงแค่ 10 นาที สามารถวิ่งได้ในระยะทางเป็น 100 กิโลเมตรเช่นเดียวกัน ซึ่งจะเป็นเทคโนโลยีที่กำลังจะเกิดขึ้น

         ตัวเรื่องของรถยนต์ไฟฟ้าจะมีมากขึ้นหลากหลายยี่ห้อที่เตรียมเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย โดยในปี 2567 

จะมีประมาณ 3 แบรนด์เข้ามา ส่วนเรื่องของ Segment ของรถยนต์ไฟฟ้า จะทำการแข่งกันและมีให้เลือกอย่างหลากหลายมากขึ้น
         ส่วนในเรื่องของราคายังคงได้รับมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ ส่งผลให้ให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าไม่แตกต่างจากรถยนต์น้ำมันมาก
         สำหรับใครต้องการมองหารถยนต์ไฟฟ้าที่จะใช้ในระยะเวลายาว คือ 5 ปี หรือ 7 ปีข้างหน้า ซึ่งถ้าคุณพอใจ

รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นดังกล่าวที่สามารถตอบโจทย์การใช้งาน และราคาอยู่ในระดับที่รับได้ จะเป็นเหตุผลให้คุณสามารถ

ซื้อรถยนต์นำไปใช้งาน โดยไม่ต้องให้ความสำคัญในเรื่องของราคามือสองที่จะตกลง แต่ให้มองว่าช่วงที่มีการใช้งาน

ไม่เกิน 8 ปี สามารถประหยัดและมีจำนวนเงินเหลือเก็บ ถึงจะเป็นความคุ้มค่าอย่างแท้จริง

         และนี้คือสิ่งสำคัญที่คุณต้องคำนึงถึงก่อนตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าและตอบโจทย์

การใช้งานให้มากที่สุด ซึ่งคุณสามารถรับชมได้จากคลิปด้านล่างและหากคุณชอบคลิปนี้ขอฝาก กด LIKE กด SHARE กด SUBSCRIBE ที่ช่องของพวกเราด้วยนะครับ

Share

FOLLOW US


WELLDONE GUARANTEE

452 Pecthkraseam Rd. Laksong Bangkhae, Bangkok 10160
Email : welldone.guarantee@gmail.com Tel. 0889415944

Copyright © 2022 EV GUARANTEE All rights reserved.