หากกล่าวถึงการส่งออกรถยนต์ไปทั่วโลกในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่ามีค่ายรถที่ครองแชมป์มา
อย่างยาวนาน คือ ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นแบรนที่รู้จักกันดี คือ Toyota, Honda, Mitsubishi และNissan
แต่ในปัจจุบันค่ายรถญี่ปุ่นได้เสียตำแหน่งแชมป์ให้กับค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ล่าสุดที่มีข้อมูลของยอดการส่งออกรถยนต์จากประเทศจีน
ในช่วงไตรมาสแรก (ม.ค. – มี.ค.) ของปี 2023 มียอดส่งออกอยู่ที่ 1.07 ล้านคัน เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้าจะเพิ่มขึ้น 58%
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-11-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-12-1024x576.jpg)
ในขณะเดียวกันที่ค่ายรถญี่ปุ่น มียอดการส่งออกอยู่ที่ 954,185 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้นเพียง 6% เท่านั้น
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-13-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-14-1024x576.jpg)
จากกระแสเรื่องของรถยนต์พลังงานใหม่ โดยเฉพาะค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีนที่ได้รับความนิยม
อย่างมาก เป็น Mega Trend ของโลก แตกต่างจากรถญี่ปุ่นที่มียอดขายลดลง เพราะคนที่ใช้รถยนต์ไฮบริดเปลี่ยนใจหันมาเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้าแทน
ทางค่ายรถญี่ปุ่นมีการปรับตัวที่ล่าช้า และมีความเสี่ยงที่จะตกเทรนด์เรื่องของรถยนต์ไฟฟ้า ถึงแม้ว่าจะมี
การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าตามหลัง
ปัจจุบันเมื่อมองที่ตลาดหลักของค่ายรถญี่ปุ่น คือ ประเทศสหรัฐอเมริกา ทางค่ายญี่ปุ่นมีการนำรถยนต์
ไฮบริดเข้าไปทำการตลาด ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก ในช่วงล่าสุด 40% ของคนที่ใช้รถยนต์ค่ายญี่ปุ่น
มีความต้องการจะเปลี่ยนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า แต่ทางรถญี่ปุ่นไม่มีการขายรถยนต์ไฟฟ้า จึงหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla แทน เนื่องจากว่าราคารถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla สามารถจับต้องได้ มีการผลิตได้ในปริมาณจำนวนมาก และมีเทคโนโลยีที่ดี ทำให้ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นต้องเสียตลาดคู่ค้าขนาดใหญ่อย่างประเทศสหรัฐอเมริกาไปส่วนหนึ่ง
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-19-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-20-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-21-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-22-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-24-1024x576.jpg)
ส่วนตลาดของประเทศจีน สำหรับคนที่มีความต้องการจะซื้อรถยนต์คันใหม่ จะหันมาเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้า
หรือรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด แต่ทางค่ายญี่ปุ่นไม่ได้รองรับในตลาดส่วนนี้ ส่งผลให้มีการสูญเสียยอดขาย
เป็นผลทำให้รถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีนเริ่มผงาดขึ้นมา จากราคาที่สามารถเข้าถึงได้และมีเทคโนโลยีที่
ทำออกได้เป็นอย่างดี ทำให้ค่ายรถยนต์จากญี่ปุ่นถูกทดแทนที่ละส่วนมากขึ้น
วิวัฒนาการของค่ายรถจากประเทศจีนมีการเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี เมื่อมองย้อนกลับไปเมื่อปี 2022 จะเห็นได้ว่ายอดขายขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ของโลก ที่แซงประเทศเยอรมนี จากผู้ส่งออกรถยนต์ และในช่วงไตรมาสแรกของ
ปี 2023 สามารถขึ้นมาเป็นแชมป์เรียบร้อยแล้ว
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-34-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-35-1024x576.jpg)
จะเห็นได้ว่าค่ายรถของประเทศจีนมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด รวมทั้งประเทศจีนได้รับแรงหนุนจาก
ประเทศรัสเซีย ในปัจจุบันประเทศรัสเซียมีการทำสงครามกับประเทศยูเครน ทำให้มีการคว่ำบาตรประเทศรัสเซียจากประเทศต่าง ๆ อาทิ ค่ายรถ Toyota ของประเทศญี่ปุ่น และรถ Volkswagen ของยุโรป ที่มีการถอนแบรนด์ออกจากประเทศรัสเซีย
ดังนั้นค่ายรถจากประเทศจีนเล็งเห็นโอกาสจึงเข้าไปทำตลาดที่ประเทศรัสเซีย โดยมีการส่งแบรนด์รถ CHERY และ GWM (Great Wall Motor) ส่งออกไปประเทศรัสเซียร่วม 140,000 คัน ส่งผลให้ช่วงครึ่งปี (ม.ค. – มิ.ย.)
ของปี 2023 มียอดส่งออกของค่ายรถจากประเทศจีนเกิน 2 ล้านคันเรียบร้อยแล้ว
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-36-0-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-36-1024x576.jpg)
รายละเอียดยอดการส่งออกรถยนต์ของประเทศจีน โดยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมามียอดการส่งออกอยู่ที่
2.14 ล้านคัน จะได้ว่าการวิวัฒนาการของรถยนต์จากประเทศจีนมีการปรับปรุงและออกแบบมีความล้ำสมัยมากขึ้น มีฟังก์ชั่นที่สามารถตอบโจทย์ต่อการใช้งาน รวมทั้งราคาที่สามารถเข้าถึงได้ จะเหมือนกับค่ายรถญี่ปุ่นเมื่อสมัยก่อน
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-41-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-43-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-44-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-45-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-46-300x169.jpg)
ค่ายรถจากประเทศจีนที่มีการส่งออก
อันดับที่ 1 คือ SAIC MOTOR
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-47-1024x576.jpg)
SAIC เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์เซี่ยงไฮ้ ที่มีหลากหลายแบรนด์จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์น้ำมัน
รถยนต์ไฟฟ้า รถปลั๊กอินไฮบริด ที่ยอดการส่งออกเฉพาะของ SAIC MOTOR อยู่ที่ 483,000 คัน
อันดับที่ 2 คือ CHERY
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-52-1024x576.jpg)
ที่มีแพลนจะมาทำตลาดที่ประเทศไทยในปี 2024 มียอดการส่งออกร่วม 394,000 คัน ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา
อันดับที่ 3 คือ Tesla
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-54-1024x576.jpg)
เพราะทาง Tesla มีการผลิตที่โรงงาน Gigafactory ที่เซี่ยงไฮ้ จึงถูกนับว่าเป็นรถยนต์ที่ส่งออกจากประเทศจีนเช่นกัน
รองลงมาจะเป็น ฉางอัน, GWM (Great Wall Motor), Geely, ตงฟง, จีเอซี ไอออน (GAC AION) และ BYD
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-56-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-57-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-59-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-60-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-61-300x169.jpg)
ในส่วนของรถยนต์ไฟฟ้า จากข้อมูลของยอดขาย ถ้าเป็นรถยนต์พลังงานใหม่เปรียบเทียบกับสัดส่วนยอดขายรถยนต์ทั้งมหด รถยนต์พลังงานใหม่ หรือ รถNEV จะมีสัดส่วนอยู่ 25% เท่านั้น
อย่างค่าย BYD ที่มีรถยนต์ที่เป็นปลั๊กอินไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้า มียอดการส่งออกอยู่ที่ 81,000 คัน
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-66-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-67-1024x576.jpg)
ส่วนค่าย GWM (Great Wall Motor) มีการส่งออกอยู่ที่ 124,000 คัน
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-168-1024x576.jpg)
ซึ่งทั้ง 2 ค่ายมีการเติบโตมากกว่า 100% หรือเท่าตัว โดย BYD มีการเติบโตถึง 10 เท่า หรือ 1,060%
แสดงให้เห็นถึงกระแสรถยนต์จากประเทศจีนที่กำลังมาแรงอย่างมาก
กว่าที่ค่ายรถจากประเทศจีนจะสามารถขึ้นมาล้มแชมป์ค่ายรถญี่ปุ่นที่อยู่มาอย่างยาวนาน เป็นเพราะว่า
ประเทศจีนมาได้ถูกจังหวะที่มีการวางแผนมาหลายสิบปี ที่จะผลักดันรถยนต์พลังงานใหม่ อย่าง รถยนต์ไฟฟ้า
ที่กลายเป็น Mega Trend ของโลก
ที่สอดคล้องกับค่ายรถญี่ปุ่นสมัยก่อนที่มีสูตรแบบนี้เช่นกัน โดยย้อนกลับไปในช่วงปี 1970 เป็นช่วงที่ราคาน้ำมันพุ่งสูงมาก กลายเป็นว่าทางรัฐบาลต้องออกมาควบคุมอย่างเข้มงวด ทั้งในเรื่องของการควบคุมราคาน้ำมัน
ลดการนำเข้าน้ำมัน โดยการออกมาตรการควบคุมมลภาวะ หรือมลพิษ การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ให้เข้มงวดมากขึ้น ดังนั้นรถยนต์ที่มีเครื่อง CC ใหญ่ จะต้องเสียภาษีแพง
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-76-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-77-1024x576.jpg)
ส่วนค่ายรถของประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรป มีความนิยมรถยนต์ที่เป็นมัสเซิลคาร์ ที่มีเครื่องยนต์
4,000 CC, 6,000 CC, 8V และ V6 ที่เติมน้ำมัน 1 กิโลเมตร จะต้องใช้น้ำมันหลายลิตร
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-80-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-81-1024x576.jpg)
ทางแบรนด์ของญี่ปุ่นจึงใช้โอกาสนี้ ในการนำเสนอรถยนต์ที่ใช้เครื่องเล็กแต่ให้แรงม้าสูง ซึ่งช่วยประหยัดและลดการปล่อยมลภาวะลง ทำให้ใช้เวลาไม่ถึงทศวรรษขณะที่ราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง ทางญี่ปุ่นกลายเป็นผู้ส่งออก
รถยนต์รายใหญ่ของโลก
อย่าง Toyota กลายเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดของโลกและเป็นกลายแชมป์เรียบร้อยแล้ว ไม่นานทาง Toyota ได้มีการปล่อยไม้เด็ดออกมา เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำ โดยการปล่อยเทคโนโลยีไฮบริด
ในช่วงปี 1997 ทาง Toyota มีการปล่อยรถยนต์ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าควบคู่กับเครื่องยนต์
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-90-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-91-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-92-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-93-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-94-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-95-1024x576.jpg)
ถ้าต้องการให้เกิดการประหยัด ซึ่งช่วงที่รถยนต์กินน้ำมันมากที่สุด คือ ช่วงจังหวะที่รถยนต์จอดหยุดนิ่งแล้วออกตัว จึงนำมอเตอร์ไฟฟ้ามาช่วยสำหรับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันมากที่สุด กลายเป็นเทคโนโลยีไฮบริด
โดยได้เปิดตัว Toyota Prius ออกมาครั้งแรกในปี 1997 ที่ได้รับการตอบรับดีเกินคาด ที่สามารถตอบโจทย์เรื่องของการประหยัดน้ำมันและปล่อยมลภาวะค่อนข้างน้อย หากเทียบกับรถยนต์ที่เป็นแบบ 100%
ดังนั้นตลาดของรถยนต์ไฮบริดจึงเริ่มเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 1990 จนถึงปี 2000 สามารถขายในประเทศสหรัฐอเมริกาได้จำนวนมาก ส่งผลให้ค่ายรถยนต์อื่น ๆ ที่เป็นค่ายญี่ปุ่นมีการแชร์เทคโนโลยี Know-How ออกไป อย่าง Honda และ Nisson ที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีเรื่องของไฮบริดในรถยนต์ของค่ายตัวเองออกมา
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีรถยนต์ไฮบริดมีการพัฒนาออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อต่อยอดและตอกย้ำถึง
ความประหยัดและการปล่อยไอเสียออกมาน้อย ถ้าเทียบกับรถยนต์น้ำมัน หรือเครื่องยนต์สันดาปภายใน
จะเห็นได้จากเทคโนโลยีไฮบริดของญี่ปุ่น อย่าง Toyota Prius รุ่นใหม่ จะประหยัดน้ำมันมากขึ้น ปล่อยมลภาวะน้อยลง และให้แรงม้าที่ดี ให้อารมณ์การขับที่สนุกมากขึ้น
ซึ่งความก้าวหน้าของเทคโนโลยีของรถยนต์ไฮบริด มีหลายค่ายนำมาเป็นจุดขายในเรื่องของความประหยัดและความแรง อย่าง Camry Hybrid Last 4
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-100-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-101-1024x576.jpg)
รถสปอร์ต HONDA CR-Z รวมทั้งทาง Mitsubishi และ Mazda เริ่มนำเทคโนโลยีไฮบริดมาใช้กับค่ายรถตัวเองมากขึ้น
หลังจากนั้นมีการต่อยอดในเมื่อไฮบริดอยู่ในระดับที่น่าพอใจแล้ว ถ้าต้องการทำให้วิ่งไฟฟ้าในระยะทางที่มากขึ้น โดยอาจจะเพิ่มแบตเตอรี่ จึงก่อเกิดเป็นเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดขึ้นมา ทางค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นเริ่มทำปลั๊กอินไฮบริด แต่ทว่าจากแบตเตอรี่มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ทำให้ต้นทุนราคารถยนต์เพิ่มขึ้นเช่นกัน ส่งผลให้ปลั๊กอินไฮบริดของญี่ปุ่นไม่ได้ถูกพัฒนาต่อเท่าที่ควร
ถ้าจะไปต่อเรื่องของพลังงานไฟฟ้า มีความคิดที่ว่าราคาของรถยนต์จะแพงจากต้นทุนของแบตเตอรี่
ซึ่งทางประเทศญี่ปุ่นไม่มี Supply Chain หรือเรื่องของต้นน้ำของแบตเตอรี่ จึงคิดว่าพลังงานไฟฟ้าไม่น่าจะดี
จึงหันไปสนใจทุ่มกับพลังงานทางเลือกอื่นใหม่ที่สะอาดมากกว่า อย่างเรื่องของพลังงานไฮโดรเจน
ในปี 2015 ทาง Toyota พยายามพัฒนาพลังงานไฮโดรเจนกับ Toyota Mirai ออกมา ซึ่งทาง Toyota บอกว่าเป็นพลังงานสะอาดมากกว่าแบบไฮบริด ซึ่งคาดว่าคนน่าจะชอบ
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-109-1024x576.jpg)
แต่พอเปิดตัว Toyota Mirai ออกมา กลับขายได้เพียง 22,000 คันเท่านั้น เป็นเพราะว่าหลายคนยังไม่มี
ความเชื่อมั่นตัวไฮโดรเจนในเรื่องของความปลอดภัย จำนวนปั๊มสำหรับการเติมมีจำนวนน้อย และรถมีราคาแพง
กลายเป็นว่าทาง Toyota เล็งผิดจุด อย่างนายอากิโอะ โตโยดะ ที่เพิ่งลงจากตำแหน่งและส่งไม้ต่อให้กับ
คนรุ่นใหม่ มีความเชื่อที่ว่ารถยนต์ไฟฟ้าไม่น่าจะเวิร์ค เลือกใช้ไฮโดรเจนจะดีกว่า
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-113-1024x576.jpg)
อาจจะเป็นเพราะว่า Culture ของประเทศญี่ปุ่นมีการพึ่งพาพลังงานไฟฟ้ามากเกินไป จึงควรมาพึ่งพาพลังงานไฮโดรเจนแทนที่สามารถแยกจากน้ำทะเลได้ แต่มีราคาต้นทุนในการแยกไฮโดรเจนอยู่ในระดับสูง กลายเป็นว่า
ค่ายญี่ปุ่นจึงเก็งผิดในเรื่องพลังงานทางเลือกอย่างไฮโดรเจน จึงตกขบวนเรื่องของรถยนต์ไฟฟ้า
ในเมื่อค่ายญี่ปุ่นหันไปทุ่มให้กับพลังงานไฮโดรเจน ทางประเทศจีนจึงเห็นโอกาสมาเล่นเรื่องของพลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มตัว ซึ่งทางประเทศจีนมีความพยายามในเรื่องของอุตสาหกรรมรถยนต์มาอย่างยาวนาน เพราะเรื่องของ
รถยนต์สันดาป ที่ทางประเทศจีนพยายามเลียนแบบแบรนด์ของประเทศญี่ปุ่นและพัฒนาให้ดีขึ้น
แต่ถ้าเป็นเครื่องยนต์สันดาปภายในทางประเทศจีนไม่สามารถสู้กับค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นได้ เพราะทาง
ประเทศญี่ปุ่นมีการพัฒนามาหลายสิบปีเป็นร้อยปี อย่างค่ายที่อยู่มาอย่างยาวนานที่มี Know-How เรื่องของ
เครื่องยนต์และเมื่อนำมาต่อยอดเป็นไฮบริด
ทางประเทศจีนจึงเปลี่ยนมารอจังหวะพอรถยนต์ไฟฟ้ามา จะต้องคว้าโอกาสนี้ให้ได้เพื่อจะพลิกโฉมเป็น
ผู้นำตลาดอุตสาหกรรมรถยนต์ของโลกให้ได้ โดยมีแนวทาง ดังต่อไปนี้
1.ทางรัฐบาลให้การสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มที่
ทั้งผู้ผลิตแบตเตอรี่ที่ใช้เวลาไม่ถึง 10 ปี สามารถเติบโตเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-117-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-118-1024x576.jpg)
หรืออย่างผู้ผลิตรถยนต์รายใหม่ที่เป็นค่ายที่เราไม่เคยได้ยิน สามารถเกิดขึ้นมาในระยะเวลาไม่ถึง 10 ปี
มีการอัดฉีดอย่างเต็มที โดยมีการสนับสนุนส่งเสริมให้มีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-122-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-123-1024x576.jpg)
ตั้งแต่ปี 2009 ทางประเทศจีนมีการสนับสนุนจูงใจเรื่องของการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า มีการทุ่มงบ R&D
ให้กู้ดอกเบี้ยต่ำ และการเช่าสถานที่ เพื่อให้เกิดการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-124-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-125-1024x576.jpg)
2. สร้างเครือข่ายสถานีชาร์จให้ครอบคลุม
ทางประเทศจีนตั้งเป้าว่าจะต้องมีรถยนต์ไฟฟ้าวิ่งบนท้องถนนในประเทศให้ได้ 5 ล้านคัน ในปี 2020
ซึ่งมีการเริ่มตั้งแต่ปี 2016 และประสบความสำเร็จเป็นที่เรียบร้อย รวมทั้งมีโครงสร้างที่รองรับรถยนต์ไฟฟ้า
จำนวน 5 ล้านคัน ทั่วประเทศ
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-126-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-127-1024x576.jpg)
3. จีนส่งเสริมให้ค่ายรถเกิดการแข่งขัน
เป็นค่ายรถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ จะมีการสนับสนุนทุกค่าย ซึ่งค่ายรถยนต์ทั้งค่ายเล็กค่ายน้อย จะมีรัฐบาลถือหุ้นอยู่ไม่มากก็น้อย ทำให้เกิดค่ายหน้าใหม่มาการแข่งขันในตลาด เพื่อให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศถูกลง
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-129-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-130-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-169-300x169.jpg)
4. การสนับสนุนระบบ Tax Credit
คือ ถ้าเป็นรถยนต์พลังงานใหม่โดยมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อย จะได้รับเรื่องของภาษี
Tax Carbon Credit อย่างรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด จะได้รับการช่วยเหลือภาษีคาร์บอนแบบหนึ่ง ถ้าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าอาจจะได้ภาษีเป็น 0% เพื่อจูงใจให้คนหันมาผลิตรถยนต์พลังงานใหม่
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-131-1024x576.jpg)
5. รัฐบาลปรับลดเงินอุดหนุน
เมื่อมีรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์จีนเกิดขึ้นมาแล้ว ในช่วงแรกทางรัฐบาลยังคงเห็นว่าราคาของรถยนต์ไฟฟ้าแพงกว่ารถยนต์น้ำมัน จึงต้องมีการให้เงินอุดหนุนตั้งแต่ประมาณปี 2010 แล้วไล่มา เป็นเวลา 8 – 9 ปี
ที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าจีนมีราคาที่ใกล้เคียงกับรถยนต์น้ำมันจากเงินอุดหนุนจากรัฐบาล และประเทศไทยยังถือเอามาเป็นต้นแบบ จะทำให้คนตัดสินใจระหว่างจะเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า หรือรถยนต์น้ำมันเพราะมีราคาที่เท่ากัน
ส่งผลให้คนหันไปเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น เป็นการกระตุ้นทำให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจีนเติบโตได้ในปัจจุบัน
ทางค่ายรถญี่ปุ่นที่มองเห็นว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามีการเติบโตและมีความต้องการจะเข้ามาตลาด แต่ไม่สามารถสู้กับประเทศจีน เพราะว่าปัจจุบันประเทศจีนชิงความได้เปรียบ โดยการเข้าไปซื้อเหมืองทำตั้งแต่ต้นน้ำ ไม่ว่าจะเป็นเหมืองแร่ที่ใช้ในการผลิตแบตเตอรี่ ซึ่งทางประเทศจีนมองแล้วว่าสิ่งที่จะคุมอำนาจของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า คือ การผลิตแบตเตอรี่ จะเห็นได้ว่าผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่ของโลกจะเป็นของประเทศจีนเสียส่วนใหญ่อย่าง CATL และ BYD ที่ทางรัฐบาลจีนให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-144-1024x576.jpg)
นอกจากนี้ทางประเทศจีนมีการเข้าไปติดต่อไม่ว่าจะเป็นเหมืองลิเธียม นิเกิล ทั้งทางฝั่งของประเทศตัวเอง
ยังมีบราซิล แอฟริกา ชิลี
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-145-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-146-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-148-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-149-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-150-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-151-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-152-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-153-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-154-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-155-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-156-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-157-1024x576.jpg)
ทำให้พอญี่ปุ่นจะเข้ามาเล่นในตลาดรถยนต์ไฟฟ้ากลับไม่มี Supply Chain ในการผลิตแบตเตอรี่
ถึงมีจะมีราคาที่แพง ผลิตออกมาไม่สามารถสู้กับประเทศจีน ประกอบกับประเทศจีนมีการวางแผนไว้อย่างดี
เพราะประเทศจีนไม่มีน้ำมัน ในยุคที่รถยนต์น้ำมันของประเทศญี่ปุ่นเฟื่องฟู จึงทำให้ประเทศจีนเสียเปรียบ
ในเรื่องของน้ำมันอย่างมาก
พูดถึงเรื่องการคานอำนาจตัดการนำเข้าน้ำมัน ทางประเทศจีนจึงมียุทธศาสตร์แห่งชาติ ถ้าในอนาคตต้องการลดการใช้และลดการพึ่งพาการนำเข้าน้ำมัน และให้ทางภายในประเทศจีนส่งเสริมเรื่องพลังงานใหม่ อย่าง
พลังงานไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโซล่าเซลล์ ทางประเทศจีนมีการสนับสนุนให้มีโรงงานที่ใหญ่ที่สุดและ
สามารถผลิตได้ถูกที่สุดอย่างโซล่าเซลล์ อยู่ที่ประเทศจีน
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-161-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-160-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-162-1024x576.jpg)
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-163-1024x576.jpg)
ดังนั้นทางประเทศจีนจึงทุ่มเทในการพัฒนาพลังงานใหม่ เพื่อที่จะไม่ต้องใช้น้ำมัน
เรื่องของรถยนต์ไฟฟ้าถือว่าเป็นยุทธศาสตร์ในการลดการใช้น้ำมัน ในเมื่อทำรถยนต์ไฟฟ้าขึ้นมาแล้ว
ที่มีผลประโยชนทั้ง 2 เรื่อง ทางประเทศจีนจึงมีการผลักดันรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มที จึงเกิดเป็นบริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่อย่างที่เห็น และค่ายรถยนต์ที่เกิดขึ้นจำนวนมาก ในปัจจุบันเมื่อเกิดตลาดรถยนต์ไฟฟ้าขึ้นมา
แต่ทางญี่ปุ่นปรับตัวไม่ทันและไม่สามารถเข้ามาแข่งขันในตลาดได้ เพราะประเทศจีนสร้างความได้เปรียบของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดแล้ว
ซึ่งจะเหลือทางฝั่งอเมริกาอย่าง Tesla กับค่ายรถจีนอย่าง BYD มีการหั่นราคารถยนต์ไฟฟ้าอย่างไม่แพ้กัน กลายเป็นว่า Tesla สามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้จำนวนมากขึ้น จะลดราคารถยนต์ไฟฟ้าของตัวเองลง เพื่อชิงตลาดกลับมา แต่ทาง BYD มีการหั่นราคาสู้กลับ
ล่าสุด มีการเจรจายุติสงครามราคา แต่จะมาแข่งในเรื่องของคุณภาพแทน ทำให้สงครามราคาเริ่มเพลาลง
ทางฝั่งประเทศไทย จากการที่ทางค่ายรถยนต์ที่เข้ามาลงทุนในประเทศหลัก ๆ จะเป็นค่ายรถยนต์ไฟฟ้าที่
ส่วนใหญ่มาจากประเทศจีน
![](https://evguarantee.net/wp-content/uploads/2023/11/รถ-EV-จีนจะครองโลก-166-1024x576.jpg)
ดูจากยอดของประเทศไทยจะเห็นได้ว่ายอดขายรถยนต์ของญี่ปุ่นตกลง โดยเฉพาะกลุ่มรถ City Car และ
ECO Car กลุ่มรถยนต์ขนาดเล็กที่มีราคาเข้าถึงได้ง่าย จะถูกค่ายรถยนต์จากประเทศจีน โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า
กินตลาดไปก่อน กลายเป็นว่าค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นจะเหลือในตลาด Premium เท่านั้น
ดังนั้นจะเหลือจำพวกรถกระบะที่รถยนต์ไฟฟ้าไม่สามารถแทนที่ได้ อย่าง พวก SUV ขนาดใหญ่ หรือ
กระบะดัดแปลง 7 ที่นั่ง หรือรถ PPV ที่ทางค่ายรถญี่ปุ่นชิงตลาดได้อยู่
สรุป ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีนที่สามารถโค่นแชมป์ค่ายรถญี่ปุ่น อย่างเทคโนโลยีไฮบริดที่อยู่มา
อย่างยาวนาน จากข้อมูลตัวเลขการส่งออกแสดงให้เห็นว่าทางค่ายรถของประเทศจีนได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า
สามารถแซงค่ายรถญี่ปุ่นเรียบร้อยแล้ว ซึ่งทางประเทศจีนมีการวางแผนมาอย่างยาวนาน และเมื่อเห็นช่องว่าง
ในเรื่องของรถพลังงานใหม่ ทั้งที่ญี่ปุ่นเป็นผู้ริเริ่มก่อนแต่ไม่ให้ความสนใจ ทางประเทศจีนจึงสบโอกาสสร้าง
กฎกติกาใหม่ สร้างความได้เปรียบเรื่องการซื้อถึงแหล่งเหมือง เพื่อครองตลาดแบตเตอรี่ ที่เป็นต้นทุนสำคัญสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาเท่ากับครึ่งหนึ่งของราคารถ
คุณสามารถดูข่าวนี้ได้จากคลิปด้านล่าง และถ้าหากคุณชอบคลิปนี้ขอฝาก กดLIKE กด SHARE
กด SUBSCRIBE ที่ช่องของพวกเราด้วยนะครับ