ตั้งแต่ต้นปี 2023 ทาง Tesla ได้ประกาศลดราคารถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla จำนวน 2 แสนกว่าบาททั่วทั้งโลก ไม่ว่าจะเป็นประเทศอเมริกา, ยุโรป,ญี่ปุ่น และเกาหลี และมีแผนเรื่องของ Tesla Minorchange รวมทั้งมีการพูดคุยเรื่องการเปิดตัว Tesla Model ราคาถูกในงาน Investor Day ที่ผ่านมา ประกอบกับล่าสุดในงาน Tesla Engineering Day มีการกล่าวถึงเทคโนโลยีของ Tesla ที่จะอัพเกรดตัวรถจำพวกฮาร์ดแวร์ทั้งหลายที่มีการขาย มาอย่างยาวนาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับรถ แน่นอนจะถอดตัว Ultrasonic Sensor ออก แทนที่ด้วยการใช้เป็นกล้องเพียงอย่างเดียว
เราจะมาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ร่วมกับผู้ที่มีความชื่นชอบและมีข้อมูลเกี่ยวกับ Tesla มากที่สุดในฝั่งอเมริกาซึ่งก็คือ คุณบลิ้งค์ หรือ Blink Drive
แผนการเปลี่ยนแปลงของ Tesla ในปี 2023
1. เรื่องของการปรับลดราคารถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla ทั่วโลก ยกเว้นที่ประเทศไทย
หลังจากการประกาศลดราคาของทางฝั่งตลาดประเทศสหรัฐอเมริกามีการตื่นตัวมากหรือไม่ ซึ่งคุณบลิ้งค์ ได้กล่าวว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla เป็นที่นิยมตั้งแต่ช่วง 3 ปีก่อนหน้า ซึ่งตอนนี้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว เพียงแต่จะเห็นรถยนต์ของ Tesla บนท้องถนนถี่มากกว่าเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา ผลจากการลดราคา ทำให้คนหันมาซื้อรถยนต์ไฟฟ้ากับ Tesla มากขึ้น ซึ่งจะเทียบเท่ากับรถยนต์ค่ายญี่ปุ่นอย่าง Toyota Corolla Altis ที่วิ่งเต็มท้องถนนในยุคนั้น
ผลกระทบจากการลดราคารถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla
จากการที่ประกาศลดราคารถทุกรุ่นของ Tesla ย่อมส่งผลกระทบต่อค่ายรถอื่น ๆ โดยเฉพาะคนที่ต้องการซื้อรถยุโรปจะต้องคำนึงถึงตัวเลือกอย่างรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla ส่วนคนที่ต้องการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla จะเป็นคนที่มีบ้านเป็นตัวเอง ส่วนอพาร์ทเม้นท์ต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายอย่าง
ก่อนหน้านี้ ทาง Tesla ที่ประกาศลดราคาลงจาก Backorder ที่ลดต่ำลงตั้งแต่ช่วงกลางปี 2022 ทั้งทีปกติ การจองรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla ในการส่งมอบใช้เวลานาน แต่หลังจากที่ประกาศลดราคารถยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่นกลายเป็นว่า Backorder Tesla มีจำนวนที่มากขึ้น จากลุ่มคนที่ไม่มีความสนใจใช้รถยนต์ไฟฟ้าก็หันมาสนใจในทันทีและ คนที่เดิมมีรถยนต์ไฟฟ้าอยู่แล้ว แต่ต้องการเปลี่ยนเป็นคันใหม่
แต่ทั้งนี้ผลกระทบจากการประกาศลดราคาจะเกิดขึ้นกับคนที่ครองรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla อยู่เดิม เพราะมูลค่ารถยนต์ไฟฟ้าเดิมอยู่ที่ 55,000 USD จะลดลงเหลือ 40,000 USD
การลดราคาของรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla
1. Model 3 ราคาเริ่มต้น 1.4 ล้านบาท ถ้ารวมเงินสนับสนุนของรัฐ รุ่น performance ราคาจะอยู่ที่ 1.7 ล้านบาท โดยยังไม่รวมภาษีป้ายทะเบียน ที่จะต้องเพิ่มอีกประมาณ 2 แสนกว่าบาท
2. Model Y ราคาเริ่มต้นอยู่ 1.8 ล้านบาท
การลดราคาของ Tesla ถือว่าเป็นการเซ็ตมาตรฐานของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ดังนั้นเวลาค่ายรถใด ๆ ที่จะมาทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจะต้องเทียบกับทาง Tesla ที่เป็นคนคุมตลาดก่อน
คนมีคำถามว่าถ้าต้องการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าที่เป็น SUV ที่ไม่ใช่แค่ฝั่งอเมริกาเอาที่ฝั่งประเทศไทยอย่าง Volvo Xc40 ราคา 2.59 ล้านบาท แต่ถ้าเป็น C40 ราคา 2.79 ล้านบาท
ซึ่งก็แล้วแต่ความชอบของส่วนบุคคลต่อการเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ที่จะคำนึงถึงด้านดีไซน์และรูปแบบของรถ
ในฝั่งอเมริกาทาง ค่ายยุโรป Toyota ในจีน Hyundai และNissan Ariya ต่างก็ต้องปรับราคาลงประมาณ 2-3 แสนบาท ส่วน Tesla ที่ประเทศไทยไม่มีการปรับลดราคารถยนต์ไฟฟ้า
2. Tesla มีการประกาศจะทำรถยนต์ไฟฟ้าที่ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือ 25,000 USD
ทางนายอีลอน มัสก์ กล่าวว่าทาง Tesla มีความตั้งใจจะทำรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูก แต่ก็ไม่มีข่าวตั้งแต่ปี 2022 ดังนั้นใน งาน Investor Day มีคนถามถึงโปรเจกต์ดังกล่าว ซึ่งทางนาย อีลอน มัสก์ ก็ไม่ได้ปล่อยโปรเจกต์นี้ไป จึงเป็นไปได้ที่จะทำออกมา เนื่องจากว่าล่าสุดทาง Tesla มีการสั่งเครื่อง GIGA PRESS ขนาด 9,000 ตัน
เมื่อมองจากปีก่อนหน้าจะเห็นว่าเทคโนโลยี Tesla Model Y ผลิตได้ต้นทุนที่ต่ำลง ทำให้สามารถลดราคาลง เมื่อเทียบกับคู่แข่ง เนื่องจาก Tesla Model สามารถผลิตและจำหน่ายถึงจุดคุ้มทุนอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งยังมี ท่าไม้ตายจากเทคโนโลยีการผลิตอย่าง GIGA PRESS ที่ฉีดอะลูมิเนียมเหลวเป็นโครงสร้าง 2 ชิ้น ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง แล้วนำมาประกบกัน จึงทำให้ต้นทุนลดต่ำลง ใช้เวลาน้อยและสามารถกดราคาลงได้ 2,000 USD
มีคนเห็นว่าที่ Giga Texas มีการสั่ง GIGA PRESS จาก IRDA เป็นเครื่องขนาด 9,000 ตัน ซึ่งมีขนาดใหญ่มากกว่าปกติ เรียกได้ว่าสามารถฉีดอะลูมิเนียม 1 ครั้ง เกือบได้รถทั้งคัน จึงมีความเป็นไปได้ว่านอกเหนือจะมาทำ Tesla Cybertruck อาจจะนำมาผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาถูก
ซึ่ง GIGA PRESS ที่ส่งไปทั่วโลกจะเป็นรุ่น 9,000 ตัน แต่รุ่นที่ปั๊ม Tesla Model Y จะเป็นรุ่น 6,100 ตัน
โดยขนาด 9,000 ตันจะะเป็นขนาดไซส์ XL ที่ยังบอกว่าไม่ได้ว่าจะนำไปใช้อย่างไร แต่จะเป็นการปั๊ม
Tesla Cybertruck Exoskeleton จะโครงสร้างของ Cybertruck แล้ว คือทำโครงรถแล้วนำมาประกบกัน
อีกอย่างหนึ่งที่จะนำมาใช้ คือ Tesla Model 3 Project Highland เนื่องจาก GIGA PRESS ขนาด 9,000 ตัน หมายความว่า เครื่อง GIGA PRESS จะฉีดน้ำอะลูมิเนียมเหลวเข้าแม่พิมพ์ ตัวบล็อกยิ่งมีขนาดที่ใหญ่ สามารถสร้างตัวรถออกมาได้ชิ้นใหญ่มากขึ้น จากของเดิมที่ผลิตได้แค่ครึ่งหนึ่ง แต่เมื่อแม่พิมพ์มีขนาดใหญ่ขึ้นอาจจะสามารถฉีดอะลูมิเนียมเหลวออกมาเป็นตัวรถได้ทั้งคัน
ภาพ GIGA PRESS ขนาด 6,000 ตัน
ภาพ GIGA PRESS ขนาด 9,000 ตัน
จะเห็นได้ว่าขนาดของไซด์มีความแตกต่างอย่างมาก เพราะฉะนั้นการปั้มการอัดโลหะสามารถทำได้เป็นอย่างดี และนี้คือผลผลิตของขนาด 6,000 ตัน
ส่วนตัว 9,000 ตัน จะทำ EXO Cybertruck Exoskeleton ของ Tesla Cybertruck โดยทำเป็นโครงสร้าง แบบใหญ่ ซึ่งน่าจะฉีดอะลูมิเนียมเหลวได้แค่ครึ่งคันแล้วนำมาประกบกัน
แต่มีสิ่งที่คาดการณ์อีกอย่างหนึ่ง มีโอกาสสูงที่อยู่ใน Project Tesla Highland เพราะว่า Tesla รุ่นถัดไป มันจะมีขนาดเล็กลงมากกว่า Model 3 ซึ่งเมื่อฉีดอะลูมีเนียมเหลวจะสามารถทำออกมาได้ทั้งคัน หมายความว่า
ถ้าสามารถทำได้ ต้นทุนจะถูกลงเป็นอย่างมาก และจะทำให้ค่ายรถคู่แข่งสู้ได้ยากมากขึ้น
ตอนนี้มีหลายค่ายที่สั่งเครื่อง GIGA PRESS จาก IDRA ไปใช้ เช่น Volvo, Volkswagen และทาง Ferrari
มีการติดต่อเข้ามา เป็นเพราะเรื่องของความยืดหยุ่น ลดจำนวนชิ้นในการทำงานลง เพื่อลดต้นทุน
อย่าลืมว่าวันนี้รถยนต์ไฟฟ้าแข่งขันกันที่จำนวนการผลิตที่มากและต้นทุนให้ถูก ซึ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้น รวมทั้ง นักวิจัยคาดว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจะเติบโตจนถึงปี 2026 ทางค่ายรถต่าง ๆ จึงรีบทำการผลิตให้ได้เยอะที่สุดและ มีต้นทุนที่ต่ำ เพื่อครองตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งในภายหลังปี 2026 ถ้าแสดงเป็นเส้นกราฟจากที่เคยขึ้นสูงอย่าง ก้าวกระโดด ต่อมาเส้นก็ขยับโค้งลงมา
ซึ่งทาง Tesla ปัจจุบันนี้สามารถทำได้แล้ว ส่วน Project Tesla Highland ในวันที่ 1 มีนาคม 2566 นายอีลอน มัสก์ จะนำมาแสดงหรือไม่
3. การอัพเดตฮาร์ดแวร์
จะทำฮาร์ดแวร์ใหม่ 4.0 โดยจะเปลี่ยนทั้ง Model 3 และ Model Y
ตัว Model 3 จะได้อัพเดทเป็นฮาร์ดแวร์ 4.0 เร็วกว่า 3 เดือน โดยมีการทดสอบฮาร์ดแวร์ 4.0 ใน Model 3 เป็นจำนวนมาก ทางฝั่งอเมริกาจะมี Model 3 Project Highland แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นความจริงหรือไม่
แต่ว่ามีฮาร์ดแวร์บางอย่างที่ไม่มีอยู่ใน Model 3 รุ่นปัจจุบัน จะตัด Ultrasonic Sensor ออก และใส่เป็นกล้องเพียงอย่างเดียว
ทางคุณเวลรู้สึกว่าในบางครั้งเวลาที่ขับรถจะใช้ตาในการมองจะเหมือนกล้อง ส่วน FSD จะแทนสมองใน การประมวลผล ส่วนตัว Ultrasonic Sensor จะแทนในส่วนของหู เรื่องเสียงใช้คลื่น ในกรณีที่การมองอาจเกิด การผิดพลาด จนต้องใช้ประสาทการสัมผัสทางอื่น อย่าง Ultrasonic
จึงเกิดคำถามว่าการตัด Ultrasonic จะดีหรือไม่ อย่างในกรณีที่ทัศนวิสัยจากฝนตก หรือมีหมอก
ต้องบอกว่า Ultrasonic ใช้การกะระยะไม่เกิน 10 เมตร จึงไม่มีผลต่อการใช้งานและเป็นระยะที่กล้องทำงาน ดีที่สุด แต่ในกรณีที่มีหมอกจะเป็นการกะระยะไกล
ทาง Tesla มองแล้วว่ากล้องไม่สามารถส่องได้ไกลประมาณ 300 เมตร เวลาขับรถเมื่อซูมในระยะไกล
มีการสั่นสะเทือน จะทำให้ได้ภาพที่ออกมาไม่ชัดเจน เป็นสิ่งหนึ่งที่เป็นข้อจำกัดของกล้อง
ต้องมีการใช้ HD Radar แทน หรือเรียกว่า Long Range Radar จะสามารถยิงคลื่นวิทยุออกได้ 300 เมตร
ซึ่งจะเป็นตัว Game Changer ให้กับ Tesla
ค่ายอื่น ๆ ยังใช้ Radar 160 เมตร มีจำนวนน้อยมากที่จะใช้แบบ HD Radar จะต้องเป็นรถระดับ HI-END อย่าง รถ Porsche Lamborghin
ตัว Long Range Radar มาดีแทคออปเจ็ค ไม่เพียงแต่ใช้ในการกะระยะไกลเพียงอย่างเดียว มีการยิงกลับมาประมวลผลข้อมูลแบบ 3D Point Cloud ซึ่งเรียกว่า ที่ 4D Radar มีการกะระยะออปเจ็ค
Radar รุ่นเดิมของ Tesla จะแบ่งเป็น 80 องศา 60 องศา และ 18 องศา ซึ่งองศาเหล่านี้จะมีผลการยิงระยะใกล้ กลางและไกล พอ Radar ยิงในระยะไกลจะต้องบีบให้องศาที่สั้นลง
4D Radar ของ Tesla จะใช้เทคโนโลยีที่สามารถยิงคลื่นที่กว้างขึ้น 100 องศา มากกว่า Radar ทั่วไปที่อยู่รถ และสามารถกินพื้นที่ได้ถึง 300 เมตร แรงกว่าของเดิมประมาณ 2 เท่า จากเดิมที่ 160 เมตร รวมทั้งเก็บออปเจ็ค
มอเตอร์ไซค์ รถยนต์ และจักรยานบริเวณข้างทางได้เป็น 3D Point Cloud
3D Point Cloud
ทางผู้ขายที่จะขายเทคโนโลยีนี้ให้กับทาง Tesla ในปี 2020 ในรูปจะมีสีเขียวและสีแดงเป็น 3D Point Cloud ที่มีการกะระยะเป็นจุด แสดงระยะใกล้จะเป็นจุดใหญ่ ระยะไกลจะเป็นจุดเล็ก จะมีการกะระยะที่เรียกว่า Object Tracking ที่สามารถเช็คออปเจ็คที่อยู่บนท้องถนนว่ามีการเคลื่อนที่หรืออยู่นิ่ง เช่น รถยนต์ที่จอดอยู่ข้างทางจะแสดงเป็นสีเขียว แต่ถ้าเป็นรถยนต์ที่มีการเคลื่อนไหวหรือคนที่ข้ามถนนจะแสดงเป็นสีแดง ซึ่งตัวนี้จะเป็นเพียงแค่ Sensor
ส่วนนี้คือ Input ที่ได้จาก Sensor ของ Radar ที่จะทำการเปลี่ยนใหม่ ตัว HD Radar จะทำการกะระยะ Object ได้ประมาณหนึ่ง แต่ก็เพียงข่าวที่เล่ามาเท่านั้น
สรุปของการเปลี่ยนแปลง
กล้องของ Tesla ฮาร์ดแวร์ 3.0 เป็นกล้องตัวเดียวกับฮาร์ดแวร์ Autopilot 1.0 ของ Tesla Model X และ Model S ซึ่ง Tesla Model X วางขายเมื่อปี 2015 ใช้กล้อง 1.2 ล้านพิกเซล เหมือนกับ Model Y และ Model 3
ที่ใช้เป็นเวลานานถึง 8 ปี ในความจริงกล้องควรมีการพัฒนา แต่ทาง Tesla ต้องการประหยัดฮาร์ดแวร์
แต่ในปี 2023 จะมีการเปิด FSD เวอร์ชั่น 11 จะใช้เลนส์ที่กว้างขึ้น แต่ความละเอียดจะต่ำลง ทำให้มีข้อถกเถียงในเชิงวิศวกรรมว่าถ้าภาพมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น แล้วพิคเซลจะต่ำลง จะไม่สามารถเก็บออปเจ็ค ไม่ว่าจะเป็น รถยนต์ คน หรือจักรยาน ดังนั้นจึงต้องเพิ่มความละเอียดจาก 1.2 ล้านพิกเซล เป็น 5 ล้านพิกเซล
จำนวนกล้องจะเพิ่มขึ้นเป็น 12 พอร์ต จากเดิม 9 พอร์ต สาเหตุที่ต้องเพิ่มกล้อง เพื่อทดแทน Ultrasonic
โดยเอากล้องมาใส่ในกันชนหน้าจำนวน 2 ตัว ตรงไฟ fog lights ส่วนกันชนหลังยังไม่ทราบตำแหน่ง แต่ต้องใส่แน่นอน ทำกล้อง 360 องศาให้กับ Tesla ส่วนรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla ที่ใช้ฮาร์ดแวร์ 4.0 จะต้องใส่ทั้งหมด
คาดว่าจะทำในปี 2024
เทคโนโลยีในปี 2023 ยังคงเป็นเทคโนโลยีเมื่อปี 2015 อยู่ ดังนั้นฮาร์ดแวร์ 4.0 จะเป็นการปรับปรุงเทคโนโลยีตั้งแต่ปี 2020 เป็น HD Radar ปี 2021 จะเป็นส่วนของบอร์ด และปี 2022 จะเป็นเรื่องของกล้อง 5 ล้านพิกเซล ถือว่าเทคโนโลยีใหม่ 5 ปี และถึงแม้ว่าจะมีการใช้ฮาร์ดแวร์ 3.0 ของ Tesla แต่สมรรถนะยังอยู่เหนือค่ายยุโรปมากถึง 5 -10 ปี
Tesla Cybertruck
มีการส่งมอบให้กับเป๊ปซี่ แต่เกิดปัญหาจากการลากที่ไม่ได้ระยะ เนื่องจากบรรทุกขวดที่มีน้ำหนักค่อนข้างมาก จึงต้องมีการพัฒนาและแก้ไขปัญหา ตัวแบตเตอรี่ยังใช้ประเภท 2,170 cells แทนที่จะใช้ 4,680 cells แล้ว
ทางนายอีลอน มัสก์ บอกว่าจะได้เจอ Cybertruck ในช่วงไตรมาส 3 หรือปลายปี 2023
สเปคของ Cybertruck
1. ไม่มี Ultrasonic แต่ใช้กล้อง 5 ล้านพิกเซลแทน และยังมีที่ปัดน้ำฝน
2. ช่วงล่างของ Cybertruck สามารถเพิ่มความสูงจากช่วงล้อถึงตัวรถได้อย่างต่ำ 60 เซนติเมตร
3. กระจกของ Cybertruck จะยืดหยุ่นได้
4. ถูกปรับให้เป็น mega charger คือ Tesla Supercharger V4 จะทำความเร็วสูดสุดที่ 1 เมกะวัตต์ ใช้แบตเตอรี่ประมาณ 200 kWh เวลาชาร์จ 0-80 ด้วยความเร็ว 250 kW จะใช้เวลาเกือบ 1 ชม. ดังนั้นถ้า Cybertruck มาลงในตลาด สถานีชาร์จทั่วไปจะต้องอัพเกรด
ข้อสรุปเรื่องราวแผนอัพเดตของ Tesla ในปี 2023 มีรายละเอียดดังนี้
1. เรื่องของการลดราคา คาดว่าถ้ามีการมาของฮาร์ดแวร์ 4.0 น่าจะไม่มีการลดราคา แต่จะเป็นการปรับขึ้นราคาแทน
2. การเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ใหม่ในปี 2024 จะเห็น Tesla Model 3 ฮาร์ดแวร์ 4.0 แต่ถ้าเป็น Model S และ
Model X ที่เป็นโมเดล Premium น่าจะเห็นในปี 2023
3. Model รถราคาถูก ในวันที่ 1 มีนาคม จะต้องติดตามต่อไป ว่า Tesla จะประกาศเรื่อง Model รถราคาถูก ทั้งเรื่องของแผน ราคา และเวลาที่เริ่มผลิต ซึ่งมีความเป็นไปได้ เนื่องจากมีเทคโนโลยีที่สามารถทำได้แล้วจากเทคโนโลยีการผลิต GIGA PRESS
4. Tesla Cybertruck ที่คาดว่าจะมาในปี 2023
5. Tesla ในเรื่องของศูนย์คาดว่าจะเห็นเป็นรูปธรรม ทั้งเรื่องของการลงทุนสถานีชาร์จประมาณ 16 จุด เปิดแล้วที่เซ็นทรัลเวิลด์เรียบร้อยแล้ว
เพื่อน ๆ ถ้าต้องการดูเนื้อหาฉบับเต็ม สามารถดูได้จากคลิปด้านล่างนี้ และหากคุณถูกใจคลิปนี้ ขอฝาก กดไลค์ กดแชร์ กด subscribe ให้ด้วยนะครับ