จากช่วงต้นปีที่ผ่านมา Tesla ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าเบอร์ 1 ของโลก ได้สร้างปรากฏการณ์สั่นสะเทือนครั้งใหญ่ ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า จากการประกาศลดราคารถยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่นสูงสุดถึง 20% และในฝั่งอเมริกายังมี เงินสนับสนุนสำหรับการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla อีก 7,500 USD ทำให้มียอดการสั่งซื้อจำนวนมากอย่าง ก้าวกระโดด
เนื่องจากในปี 2022 ทาง Tesla เห็นว่ายอดออเดอร์คงค้างจากช่วงต้นปีที่มีจำนวนจากหลักแสนค่อย ๆ ลดจำนวนลง จนในปลายปีเหลือเป็นหลักพัน จึงคาดว่าปี 2023 ที่เศรษฐกิจโลกถดถอย กำลังซื้อของคนจะอ่อนแอ ส่งผลให้คนระมัดระวังการใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นทาง Tesla จึงเลือกใช้กลยุทธ์การลดราคาลง
รถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla มีทั้งหมด 4 รุ่น ดังนี้
รุ่นที่ขายดี คือ Model 3 และ Model Y ซึ่งเป็นรถ Crossover SUV มียอดขายสูงที่สุด
โดยรุ่น Model Y รุ่น Standard Range มีส่วนลดราคาสูงสุดถึง 20% จากเดิมราคาอยู่ที่ 68,990 USD ลดราคาลงมาเหลือ 59,990 USD ตีเป็นเงินไทยประมาณ 1.5 ล้านบาท ยังไม่รวมส่วนลดเงินสนับสนุนประมาณ 200,000 กว่าบาท
การที่ Tesla ประกาศลดราคา หลายคนเกิดข้อสงสัยว่าทาง Tesla อาจมีปัญหาภายใน เช่น จำนวนที่ผลิตมีมากกว่ายอดการสั่งซื้อ ค้างสต๊อกจำนวนมาก และขายออกไม่ได้ หรือ นายอีลอน มัสก์ ให้ความสนใจในกิจการ Twitter มากกว่า Tesla
ในความเป็นจริง Tesla ประสบความสำเร็จในการขายรถยนต์ไฟฟ้า จนครองตลาดกลายเป็นแบรนรถยนต์หรูอันดับ 1 ในอเมริกา แซงหน้าค่ายแบรนรถที่เราคุ้นเคยมาอย่างยาวนาน คือ Mercedes-Benz และ BMW ถือเป็นครั้งแรกที่ค่ายรถยนต์ของสหรัฐอเมริกาที่ได้ครองตำแหน่งนี้มา
รวมทั้งยังมีท่าไม้ตายเทคโนโลยีการผลิต GIGA PRESS ที่ช่วยผลิตได้เร็วและคล่องตัวมากขึ้น รวมทั้งสามารถลดต้นทุนการผลิตได้
ความพร้อมของ Tesla การลดราคารถยนต์ไฟฟ้า
ปี 2004 เป็นช่วงเริ่มต้นของ Tesla ซึ่งเคยมีประสบการณ์ขาดทุนจำนวนมากมาก่อน จากการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรก Model S มาเป็น Model X จนถึงจุดเปลี่ยนแปลงที่ Model 3 มีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าราคาเริ่มต้น ที่ 1.2 ล้านบาท ทำให้มีการจองสั่งซื้อจำนวนมาก แต่เนื่องจาก Tesla ยังประสบปัญหาผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกมาได้จำนวนน้อยไม่พียงพอต่อการลดต้นทุน ส่งผลให้ทาง Tesla จึงให้ความสำคัญการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต
หลังจากการเปิดราคา รุ่น Model 3 มีกาารทยอยปรับราคาเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.7 ล้านบาทต่อคัน เพื่อให้ครอบคลุมต่อต้นทุนการผลิตที่สูง และยังผลิตได้จำนวนน้อย จนสามารถคืนทุนได้เรียบร้อยแล้ว
ในปัจจุบันมีกำไรในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าต่อคันอยู่ที่ 30% ตีเป็นเงินไทยประมาณ 500,000 บาทต่อ 1 คัน เมื่อเปรียบเทียบกับค่าย Toyota และ Volkswagen จะมีกำไรอยู่ประมาณ 10 กว่า% เท่านั้น ดังนั้นทาง Tesla จึงมีข้อได้เปรียบที่สามารถลดกำไรลงเพื่อการลดราคา ให้คนสามารถเข้าถึงได้
ผลจากการปรับลดราคารถของ Tesla ยังเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่เกิดขึ้นในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ส่งผลให้ค่ายรถอื่น ๆ ต้องปรับตัวตาม อาทิ ทางฝั่งอเมริกา Ford Mach-E ต้องปรับลดราคาลง 200,000 บาท เพื่อมาแข่งขันกับ Tesla Model 3 ส่วนฝั่งจีน รถ Xpeng ก็มีการปรับราคาลงตาม ถ้าหากว่าค่ายรถมีจำนวน การผลิตไม่มากเหมือนกับของ Tesla ราคาต้นทุนต่อคันจะสูงกว่า ทำให้มีกำไรที่ลดลงหรือขาดทุน
ในปี 2022 ที่ผ่านมา ทาง Tesla ส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้ามีจำนวนทั้งหมด 1.3 ล้านคัน
นักวิเคราะห์ชี้ว่า ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าตั้งแต่ปี 2023 – 2026 จะยังคงเติบโตแบบก้าวกระโดด หากค่ายรถสามารถผลิตรถยนต์ได้ถูกและมีจำนวนมาก จะเป็นผู้ครองตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งทาง Tesla ทำได้แล้วจากเทคโนโลยีการผลิต GIGA PRESS
ภายหลังปี 2026 คนหันมาเล่นรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นและผลิตมากขึ้น แต่ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าจะลดลง จนอาจเกิด Over Supply (อุปทานส่วนเกิน)
เทคโนโลยีการผลิต GIGA PRESS
คือ เทคโนโลยีการผลิตโครงสร้างตัวรถ โดยการฉีดน้ำอลูมิเนียมเหลวเข้าไปในแม่พิมพ์ หล่อเป็นโครงสร้าง อลูมิเนียมขึ้นมา ทดแทนวิธีการแบบเดิมที่ต้องปั๊มชิ้นส่วนที่ละชิ้น นำมาประกอบแล้วมาเชื่อม ที่ใช้เวลานานไม่สามารถลดต้นทุนได้
โดยจะฉีดโครงสร้างด้านหน้าและด้านหลัง แล้วนำมาประกบกันเป็นแพลตฟอร์ม สามารถลดเวลาการผลิตได้มากถึง 70 เท่า ยกตัวอย่าง รุ่น Model Y ถ้านำมาประกอบเป็นตัวรถ โดยที่ยังไม่ได้พ่นสี 1 คัน ใช้เวลาเพียงแค่ 40 วินาทีเท่านั้น
ทาง Tesla ใช้เทคโนโลยีนี้ตั้งแต่ปี 2020 เริ่มจาก Tesla Model Y เครื่องที่ใช้เป็นของ IDRA สัญชาติอิตาลี ไซด์ 410 – 430 ตัน
ล่าสุด มีคนเห็นว่า Tesla ที่เท็กซัส มีการสั่งเครื่อง GIGA PRESS ของ IDRA ขนาด 9,000 ตัน
หลายคนสงสัยว่าจะเอามาผลิตอะไร เช่น รถกระบะไฟฟ้า Tesla Cybertruck ที่มียอดจองเป็นจำนวนมาก
หรือจะเป็นการซุ่มพัฒนารถตัวใหม่ จะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นราคาไม่เกิน 1 ล้านบาทในช่วงวันที่ 1 มีนาคมนี้ จะใช้ Tesla Next Gen Platform เป็นแพลตฟอร์มรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ของ Tesla ที่ราคาต้นทุนถูกลง
จากการใช้เทคโนโลยีดังกล่าว ฉีดเป็นแพลตฟอร์มขึ้นมาทีเดียว แทนที่จะเป็น 2 ชิ้น อย่าง Model Y ราคาต้นทุนจึง
ต่ำกว่า Model Y ครึ่งหนึ่ง ดังนั้น Tesla มีความมั่นใจที่จะสามารถขายรถยนต์ไฟฟ้าที่ราคา 25,000 USD ตีเป็น เงินไทยอยู่ที่ประมาณ 7 – 8 แสนบาท ซึ่งไม่เกิน 1 ล้านบาท
ผลกระทบจากการประกาศลดราคารถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla ส่งผลให้ตลาดรถ Tesla มือสอง จะต้องปรับลดราคาลง จากเดิมในช่วงที่ Tesla ที่ยังผลิตได้จำนวนน้อย แต่คนมีความต้องการซื้อมาก จึงเลือกจะซื้อรถ Tesla ที่มีการใช้งานแล้ว 1- 2 ปี ที่ตลาดรถมือสอง ในช่วงนั้นราคายังสูงกว่าราคามือหนึ่งด้วยซ้ำ
เพื่อน ๆ สามารถดูข่าวเรื่องนี้ได้จากคลิปด้านล่าง ถ้าหากคุณชอบคลิปนี้ ขอฝากกดไลค์ กดแชร์ กด Subscribe ให้ด้วยนะครับ